Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive
 

สำหรับขบวนการเสรีไทยนั้น ได้ตั้งหน่วยกองพลส่วนหน้า 24 แห่ง มีพลพรรคเข้าฝึกอบรมประมาณ 500 คน รวมจำนวนประมาณ 10,000 คน และถ้าจะรวมจำนวนสำรองที่จะระดมเมื่อลงมือปฏิบัติต่อสู้ญี่ปุ่นอย่างเปิดเผยแล้ว

 

พลพรรคเสรีไทยสวนสนามที่ถนนราชดำเนิน

สำหรับขบวนการเสรีไทยนั้น ได้ตั้งหน่วยกองพลส่วนหน้า 24 แห่ง มีพลพรรคเข้าฝึกอบรมประมาณ 500 คน รวมจำนวนประมาณ 10,000 คน และถ้าจะรวมจำนวนสำรองที่จะระดมเมื่อลงมือปฏิบัติต่อสู้ญี่ปุ่นอย่างเปิดเผยแล้ว ก็จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นรวมเป็นพลพรรคที่สามารถต่อสู้ทางอาวุธประมาณ 80,000 คน และถ้ารวมทั้งผู้ที่ประจำกองบัญชาการและธุรการอื่นๆด้วยแล้ว จำนวนก็จะมีมากกว่านั้น

 ทั้งนี้ หน่วยเสรีไทยในประเทศไทยได้แยกออกเป็น 2 ฝ่าย

ฝ่ายที่หนึ่ง คือ พลพรรคพวกซึ่งมีหน้าที่ฝึกหัดอาวุธ หัดให้รู้จักการใช้อาวุธชนิดต่างๆ ฝึกรบแบบกองโจรเพื่อเตรียมรบเมื่อถึงเวลาและเมื่อได้รับคำสั่ง

ฝ่ายที่สอง คือ ฝ่ายสืบราชการลับอีกพวกหนึ่ง หน่วยสืบราชการลับนี้ได้รับความร่วมมือกับตำรวจดีมากเพราะพลตำรวจเอก อดุล อดุลเดชจรัส เป็นหัวหน้าเสรีไทยด้วยผู้หนึ่ง จึงทำให้การสืบสวนเป็นที่พอใจและถูกต้องตรงกับความจริง[7]

ทั้งนี้ หน่วยพลพรรคบางหน่วยของเสรีไทย ต้องการทำลายทหารญี่ปุ่นที่เข้าไปในเขตหวงห้ามอันเป็นที่ตั้งของเสรีไทยแล้วก็ทำการฝังเพื่อทำลายหลักฐานเสีย เช่น ที่จังหวัดกาญจนบุรี และที่จังหวัดสุโขทัย เป็นต้น การลักขโมยและทำลายทรัพย์สินตลอดจนยุทโธปกรณ์ของทหารญี่ปุ่น ก็มีอยู่เป็นการประจำ เช่น ขโมยน้ำมันเชื้อเพลิง ขโมยปืนและกระสุนปืน ขโมยวัตถุระเบิด ขโมยรถยนต์ ฯลฯ[7]

การกระทำเหล่านี้ได้ล่วงรู้ไปถึงกองบัญชาการทหารหน่วย 136 ของอังกฤษที่เมืองแคนดี ประเทศอินเดีย ทำให้กองบัญชาการทหารอังกฤษและอเมริกันเชื่อถือและไว้วางใจในความร่วมมือของเสรีไทยในประเทศมาก

จนในระยะหลังๆ ขบวนการเสรีไทยขาดยารักษาโรคจึงได้ติดต่อขอไปที่เมืองแคนดี เขาก็นำหีบยารักษาโรคที่เสรีไทยขอไปผูกติดกับร่มชูชีพบรรทุกเครื่องบินมาทิ้งให้ที่ท้องสนามหลวงหลายหีบในเวลากลางวันแสกๆ ทำเอากองทหารญี่ปุ่นโกรธและสงสัยมากขึ้นถึงกับประท้วงรัฐบาล

รวมถึงการทิ้งระเบิดของเครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตรในระยะหลังๆ นี้ก็แม่นยำและทิ้งลงยังเป้าหมายเฉพาะที่ตั้งของญี่ปุ่นทั้งนั้น จาการที่ขบวนการเสรีไทยบอกเป้าหมายไปบ้าง หรือทางอังกฤษสอบถามมาบ้าง [7]

ในขณะที่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เกิดปัญหาค่าครองชีพแพง เครื่องอุปโภคบริโภคอัตคัดขาดแคลน ในขณะที่จอมพล ป.ยังได้บังคับชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรทางวัฒนธรรมผ่านรัฐนิยม อีกทั้งยังทำตัวเทียมกษัตริย์ให้ผู้ชมภาพยนตร์ยืนทำความเคารพในการฉายภาพ จอมพล ป. ส่งผลทำให้ความไม่พอใจของราษฎรส่วนมากถึงขีดสุดที่ต้องการให้เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ทำให้ผู้แทนราษฎรทั้งประเภทที่หนึ่งและประเภทที่สองส่วนมากได้ตระหนักถึงกระแสของประชาชนในครั้งนั้น[6]

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ญี่ปุ่นมีความคิดจะเปลี่ยนตัวจอมพล ป. ซึ่งย่อมทำให้จอมพล ป.เกิดความหวาดระแวงญี่ปุ่น แต่ในขณะเดียวกันฝ่ายญี่ปุ่นเองก็เริ่มไม่ไว้วางใจต่อจอมพล ป.มากขึ้น ถึงขนาดที่นายพลญี่ปุ่นประจำอินโดจีนพร้อมนายทหารญี่ปุ่นอีก 4 คน ได้เดินทางไปกรุงพนมเปญเพื่อทาบทาม พันเอกพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน)ทหารไทยอดีตผู้ก่อการคนสำคัญของคณะราษฎรให้มารับตำแหน่งสำคัญในประเทศไทย เพราะมีผู้นับถือว่ามีความรู้และความจริงใจ และมีลูกศิษย์เป็นนายทหารจำนวนมาก

โดยพันเอกพระยาทรงสุรเดช ผู้นี้ ได้ถูกจอมพล ป.บังคับเนรเทศไปอยู่ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2481 เนื่องจากรัฐบาลจอมพล ป.ระแวงว่าพันเอกพระยาทรงสุรเดชมีแผนจะยึดอำนาจการปกครอง พันเอกพระยาทรงสุรเดชจึงต้องย้ายไปอยู่ที่กัมพูชาอย่างยากจนประกอบอาชีพขนายขนมและรับซ่อมจักรยานเล็กๆ น้อย

อย่างไรก็ตามพันเอกพระยาทรงสุรเดช ได้ปฏิเสธนายทหารญี่ปุ่นอย่างหนักแน่นที่จะรับตำแหน่งโดยการสนับสนุนจากญี่ปุ่น ฝ่ายทหารญี่ปุ่นจึงแสดงความเคารพเดินทางกลับไป [11]

แต่หลังจากนั้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อำนาจของจอมพล ป.สั่นคลอน วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2487 พันเอกพระยาทรงสุรเดชก็ได้เสียชีวิตด้วยอาการโลหิตเป็นพิษ แต่ก็มีข้อสงสัยจากคำบอกเล่าของบุตรชายว่าได้ถูกวางยาพิษจนเสียชีวิตที่กัมพูชา [12],[13]

ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนั้น จอมพล.ป ได้จัดพิธีชวนญี่ปุ่นให้ไปร่วมสาบานต่อหน้า “พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรแก้วมรกต” ว่าจะซื่อสัตย์ต่อกันไปจนถึงที่สุด[6] แต่พิธีดังกล่าวก็กลับเป็นสัญญาณที่ทำให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายมีความไม่ไว้วางใจต่อกันมากขึ้น

ในขณะเดียวกันวิทยุนิวเดลลีฮ์ของอังกฤษก็ใช้กลยุทธ “เสี้ยม” เพื่อทำให้ญี่ปุ่นระแวงจอมพล ป.ยิ่งขึ้น โดยกระจายคำกลอนซ้ำๆ หลายวันและบอกช้าๆ ขอให้ผู้ฟังจดไว้ ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นก็ได้จดไว้ด้วย คำกลอนนั้นนายปรีดี ได้บันทึกเอาไว้ในหนังสือบางเรื่องเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ความว่า

“เป็นจอมพลไฉนยอมเป็นจอมแพ้

ทำผิดแล้วคิดแก้ไม่ได้หรือ

เกิดเป็นชายชาตรีมีฝีมือ

ใยจึงดื้อให้ไพรีนั่งขี่คอ”[6]

นายปรีดี ได้บันทึกในเรื่องผลกระทบของบทกลอนนี้ว่า

 

“ข้าพเจ้าทราบจากคนไทยที่ติดต่อกับญี่ปุ่นว่า กลอนบทนี้ญี่ปุ่นจดไว้แล้ว ระแวงจอมพล ป.ยิ่งขึ้น ประกอบด้วย พ.อ.กาจ กาจสงคราม ได้เดินทางไปเมืองจีน โดยทางจีนให้นายพลไตลี-นายใหญ่เกสตาโปจีนที่จุงกิงรับรองในการสนทนานั้นมีล่ามที่เป็นคนเกิดในเมืองไทย ข่าวนี้วี่แววไปถึงฝ่ายญี่ปุ่น แม้ พ.อ.กาจฯ จะบอกนายพลไตลีว่าตนเดินทางมาเอง แต่ญี่ปุ่นรู้วี่แววก็สงสัยว่า จอมพล ป.คงใช้มา คนไทยที่ติดต่อกับญี่ปุ่นรีบมาบอกข้าพเจ้าว่า ทหารญี่ปุ่นตระเตรียมที่จะเข้ายึดรัฐบา

                                                                                   

                                                                                   

                                                                                             นายปรีดี พนมยงค์

 

จนกระทั่งเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2487 จอมพล ป. เสนอร่างพระราชบัญญัติให้รับรองพระราชกำหนดระเบียบบริหารนครเพชบูรณ์และพุทธบุรีมณฑล ซึ่งจอมพล ป.ดำริสร้างเป็นนครขึ้นในบริเวณป่าที่มีไข้จับสั่นระบาดร้ายแรง ในการนั้นก็จะต้องเกณฑ์ราษฎรไปทำงานโยธา ผู้แทนราษฎรทั้งประเภทหนึ่งและประเภทสองส่วนมาก ซึ่งตระหนักถึงความไม่พอใจของราษฎรอยู่แล้วได้ลงมติไม่อนุมัติร่างกฎหมายนั้น[6]

ต่อมารัฐมนตรีส่วนมากยืนยันในคณะรัฐมนตรีว่า ตามมารยาทรัฐบาลต้องลาออก แต่สภาผู้แทนราษฎรอาจแนะนำคณะผู้สำเร็จราชการให้ตั้งใหม่ได้ จอมพล ป.จึงได้ยื่นใบลาออกต่อคณะผู้สำเร็จราชการ ในขณะที่ฝ่ายญี่ปุ่นได้เข้าพบนายปรีดีสอบถามถึงเรื่องการตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ควรเป็นใคร นายปรีดีจึงยืนยันไปว่าควรเป็นไปตามระบบรัฐธรรมนูญของไทย และตอบคำถามฝ่ายญี่ปุ่นถึงเรื่องนายควง อภัยวงศ์ ซึ่งนายปรีดีก็ได้ตอบไปว่า “เขาเป็นคนร่าเริง นิสัยดี หวังว่าเขาจะร่วมมือกับฝ่ายญี่ปุ่นได้” [6]

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนายควง อภัยวงศ์ ได้รับเงื่อนไขจากนายปรีดีว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อตีหน้าเข้าข้างญี่ปุ่น ส่วนการงานขอรัฐบาลให้นายทวี บุณยเกตุเป็นผู้สั่งราชการสำนักนายกรัฐมนตรี จนในที่สุดเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีตามที่ตกลงกัน[6]

แต่ฝ่ายพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาทรงยืนกรานไม่ยอมลงพระนามตั้งนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในที่สุด พระองค์ได้ทรงขอลาออกจากตำแหน่งประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ โดยเข้าพระทัยว่า นายควงฯ จะไปไม่ตลอดรอดฝั่ง ไม่ช้าจอมพล ป.ก็จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก ซึ่งนายปรีดีจะต้องออกไปโดยพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาจะทรงกลับมาเป็นผู้สำเร็จราชการอีก[6]

จากนั้นสภาผู้แทนราษฎรจึงลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2487 ตั้งให้นายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แต่ผู้เดียว ในวันเดียวกันนั้นนายปรีดีจึงได้ลงนามประกาศพระบรมราชโองการในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ตั้งพันตรีควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการตามระเบียบ[6]

หลังจากนั้นปรากฏว่าจอมพล ป. ได้ไปรวบรวมทหารตั้งมั่นอยู่ที่ลพบุรีซึ่งเป็นการคุกคามใหม่ต่อรัฐบาล พล.ร.ท.สินธุ กมลนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารเรือ ซึ่งเป็นพี่เขยของนายวนิช ปานะนนท์นั้น โดยภายหลังจากการที่ นายวนิช ปานะนนท์ ได้เสียชีวิตในเรือนจำอย่างมีพิรุธแล้ว พล.ร.ท.สินธุ กมลนาวิน เปลี่ยนใจย้ายมาอยู่ฝ่ายต่อต้านญี่ปุ่น โดยพล.ร.ท.สินธุ กมลนาวิน ได้เข้าพบนายปรีดี พนมยงค์ และเสนอว่าต้องปลดจอมพล ป.จากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด โดยขอให้ พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นแม่ทัพใหญ่ และ พล.ท.ชิต มั่นศิลป์ สินาดโยธารักษ์ เป็นรองแม่ทัพใหญ่[6]

เมื่อนายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรี ได้รับสนองพระบรมราชโองการปลดออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด และแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน และรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นแม่ทัพใหญ่ และ พลโทชิต มั่นศิลป์ สินาดโยธารักษ์ เป็นรองแม่ทัพใหญ่แล้ว พอถึงรุ่งเข้าก็ได้ให้วิทยุกระจายเสียงประกาศพระบรมราชโองการดังกล่าว จึงเป็นผลทำให้จอมพล ป.ต้องปฏิบัติตามพระบรมราชโองการอย่างไม่มีทางเลือกและได้ย้ายจากลพบุรีไปอยู่ที่อำเภอลำลูกกาจนตลอดสงคราม[6]

นอกจากนั้นในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2488 นายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ปลดพลโทผิน ชุณหะวัณ ประจำเสนาธิการทหารบก ออกจากประจำการ[14] โดยพลโทผิน ชุณหะวัณ คือแม่ทัพเข้ายึดครองเมืองเชียงตุง ได้เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2485 ตามคำสั่งจัดตั้งกองทัพพายัพของ จอมพล ป. และยังเป็นข้าหลวงใหญ่เมืองเชียงตุงอีกด้วย โดยหลังพลโทผิน ชุณหะวัณถูกปลดออกจากราชการแล้ว พลโทผินก็อพยพครอบครัวไปทำไร่ ทำสวนอยู่ที่อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา

อย่างไรก็ตามนายทวี บุณยเกตุ เมื่อได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของคณะรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ จึงได้มีโอกาสรวบรวมบรรดานิสิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาฝึกอาวุธและคัดเลือกส่งไปเป็นเสรีไทยประจำค่ายที่ลพบุรี จังหวัดเขาบางทราย ภายใต้การควบคุมของพลเรือตรีสังวรณ์ สุวรรณชีพ ซึ่งนับว่าเป็นค่ายที่มีจำนวนพลพรรคมากที่สุดแลมีสมรรถภาพสูงที่สุดแห่งหนึ่ง คือ มีทั้งพวกนิสิตซึ่งล้วนเป็นผู้ที่มีการศึกษาอยู่ในระดับสูง และมีทั้งทหารเรือฝ่ายพรรคนาวิกโยธินด้วย[7]

ในระหว่างที่สงครามใกล้จะเสร็จสิ้นลงนี้สถานการณ์ภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พระนครได้ตึงเครียดมากเกือบจะถึงจุดระเบิดแล้ว เพราะทหารญี่ปุ่นมีความมั่นใจว่า ไทยจะหักหลัง

ในช่วงนั้นเองวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 นายทวี บุณยเกตุ ได้ดำเนินการเสนอร่างพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดฐานกบฏและจราจล พุทธศักราช 2488 [15] เพื่อให้นายควง อภัยวงศ์ รับสนองพระบรมราชโองการ ต่อมาสภาผู้แทนราษฎรก็ได้ให้ความเห็นชอบพระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดฐานกบถและจราจล พุทธศักราช 2488 เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2488 [16] อันเป็นผลทำให้ปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองทั้งหมดตามคำมั่นสัญญาของนายปรีดี พนมยงค์ ที่ได้ให้ไว้ต่อหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ สวัสดิวัฒน์(ท่านชิ้น)

ไม่เพียงเป็นการทำตามสัญญาต่อหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ สวัสดิวัฒน์(ท่านชิ้น) เท่านั้น แต่ความจริงยังเป็นไปตามข้อเรียกร้องของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7[17] ก่อนที่จะทรงสละราชสมบัติเสียอีก

นอกจากนั้นในหนังสือเจ้าฟ้าประชาธิปก ราชันผู้นิราศ ของนายหนหวย ได้กล่าวถึงความพยายามที่จะเยียวยาบาดแผลของความขัดแย้งในอดีตความตอนหนึ่งว่า

“นายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน รัฐบุรุษอาวุโส ยังได้แสดงความจริงใจเปิดเผยต่อบุคคลหลายคนและหนังสือพิมพ์ว่า จะคืนวังศุโขทัยที่ตกเป็นของรัตามคำพิพากษาคืนให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งยังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ ย่ิงไปกว่านี้ในฐานะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน นายปรีดี พนมยงค์ ดำริจะอัญเชิญพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลับคืนประเทศไทย ได้มีการติดต่อเป็นทางการสมานรอยร้าวในอดีตกับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเป็นที่เรียบร้อย และรู้กันทั่วไป”[18]

ก่อนที่ไทยจะลุกขึ้นญี่ปุ่นจะต้องพุ่งรบกันซึ่งกำหนดเอาไว้วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2488 ปรากฏว่าวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2488 สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมือง ฮิโรชิม่า คนตาย 66,000 คน บาดเจ็บ 69,000 คน ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองนางาซากิ บาดเจ็บ 25,000 คน รวมทั้งสองครั้งตายมากกว่า 250,000 คน ในวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2488 และเป็นผลทำให้ประเทศญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ไปเสียก่อนในวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2488 [8]

วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ประเทศไทยจึงประกาศสันติภาพ โดยพระบรมราชโองการว่า การประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกาเป็นโมฆะไม่ผูกพันประชาชนชาวไทย[19] พันตรีควง อภัยวงศ์ จึงได้ลาออกจากนายกรัฐมนตรีในวันรุ่งขึ้น และเปิดทางให้นายทวี บุณยเกตุ เป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อให้เกิดการเจรจาและทำความเข้าใจอันดีกับฝ่ายพันธมิตร

แต่การจับมือร่วมงานระหว่างนายปรีดี พนมยงค์ อดีตผู้ก่อการคณะราษฎร กับพระบรมวงศานุวงศ์ในการกอบกู้เอกราชในภารกิจขบวนการเสรีไทยครั้งนี้ ยังไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะยังต้องอาศัยศิลปการทูตเจรจาต่อรอง ผ่านดุลอำนาจระหว่างประเทศเพื่อลดความเสียหายให้น้อยที่สุดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยต้องเข้าสู่ภาวะปัญหาทางเศรษฐกิจที่รุนแรง จึงต้องปลดทหารออกจำนวนมาก ชีวิตของเหล่าวีรบุรุษที่เคยได้ยึดดินแดนกลับมาในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. ซึ่งรวมถึง พลโทผิน ชุณหะวัณ มีความโกรธแค้น เพราะนอกจากเหล่าทหารหาญต้องเดือดร้อนทางฐานะการเงินและสูญเสียเกียติยศแล้ว ดินแดนทั้งหลายที่เคยประเทศไทยเคยยึดมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังจะต้องส่งมอบคืนกลับให้หมด นอกจากนั้นผู้นำทางการทหารอย่างจอมพล ป. พิบูลสงครามและคณะ ก็ยังต้องถูกจับไปขึ้นศาลอาชญากรสงครามอีกด้วย

ตรงกันข้ามกับสถานภาพทางการเมืองของนักการเมืองในเวลานั้น ไม่ว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 เศรษฐกิจจะแย่งเพียงใด แต่บริษัททั้งหลายของนักการเมืองที่มีหุ้นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นบริษัท ข้าวไทย จำกัด และ บริษัท ไทยนิยมพาณิชย์ จำกัด รวมถึงธนาคารพาณิชย์ทั้งหลายที่ได้มาจากการลงทุนของรัฐบาล ของส่วนตัว หรือการเบียดบังมาจากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ก็ยังมีกำไรอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือกันทำงานอย่างระหว่างนายปรีดี พนมยงค์ กับเจ้านายซึ่งเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทำไปเรื่องรักษาเอกราชและผลประโยชน์ของชาติในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้น นายปรีดี พนมยงค์ ในเวลาต่อมาเมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วได้กล่าวในคราวประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 สุนทรพจน์ความตอนหนึ่งเรื่อง “ประชาธิปไตยที่มีสามัคคีธรรม” อันประกอบไป กฎหมาย ศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริตความตอนหนึ่งเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า

“ข้าพเจ้าเชื่อว่าถ้าต่างฝ่ายต่างสุจริตมุ่งส่วนรวมของประเทศชาติ ไม่ใช่มุ่งหวังส่วนตัว แม้แนวทางที่จะเดินไปสู่จุดหมาย จะเป็นคนละแนว แต่ในอวสานต์เราก็พบกันได้

ข้าพเจ้าขออ้างเจ้านายหลายพระองค์นั้น ท่านก็มีจุดหมายเพื่อส่วนรวมของประเทศชาติ ไม่ใช่ส่วนพระองค์ ผลสุดท้ายเราก็ร่วมมือทำงานด้วยกันมาเป็นอย่างดีในการรับใช้ประเทศชาติ และรักใคร่สนิทสนมยิ่งเสียกว่าผู้ซึ่งเอาประเทศชาติป็นสิ่งกำบัง แต่ความจริงมุ่งหวังในประโยชน์ส่วนตัวมาก ผู้ที่คอยอิจฉาริษยาเมื่อไม่ได้ผลสมหวังแล้ว ก็ทำลายกิจการอันเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ แทนที่จะเสริมก่อให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติอันเป็นส่วนรวม

ผู้ที่ทำการปฏิปักษ์ต่อคณะราษฎรแต่โดยมีอุดมคติซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้าเคารพในความซื่อสัตย์ ซึ่งมีตัวอย่างอยู่มากหลายที่ผู้ซื่อสัตย์เหล่านี้ได้ร่วมกิจการรับใช้ชาติกับข้าพเจ้า ท่านเหล่านี้ไม่ต้องวิตกกังวล

แต่ผู้ซึ่งแสดงว่าซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ในภายนอก ส่วนภายในหวังผลส่วนตัวหรือมูลสืบเนื่องมาแต่ความไม่พอใจเป็นส่วนตนเช่นนี้แล้ว ก็เกรงว่าผู้นั้นก็อาจหันเหไปได้สุดแต่ว่าตนจะได้รับประโยชน์ส่วนตนอย่างไหนมากกว่า” [20] 

ด้วยความปรารถนาดี

ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

 

อ้างอิง

[1] ปรีดี พนมยงค์, ความเป็นไปภายในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์, หนังสือบางเรื่องเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2, หน้า 32 https://pridi.or.th/sites/default/files/pdf/2515-64.pdf

[2] คำของหม่อมเจ้าหญิง อัปภัศราภา เทวกุล, บางเรื่องเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์ในระหว่างสงครามโลกครั้ง 2, “สมเด็จพระศรีสวรินทิรา”, อนุสรณ์ ในงานพระราชทานเพลิงศพ ร.ท.อู๊ด นิตยสุทธิ ต.ช.ต.ม., อดีตผู้แทนราษฎร จังหวัดนคราราชสีมา ณ ฌาปนสถาน วัดใหม่อัมพร อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา, หน้า 39-44

[3] ทศ พันธุมเสน และจินตนา ยศสุนทร, จากมหาสงครามสู่สันติภาพ, คณะกรรมการดำเนินงานโครงการฉลอง 100 ปี ชาตกาล นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส, จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 100 ปี ชาตกาล นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส (11 พฤษภาคม 2443-11 พฤษภาคม พ.ศ. 2543), ผู้จัดพิมพ์ร่วม สถาบันปรีดี พนมยงค์, ดำเนินการผลิตโดย โครงการจัดทำสื่อเผยแพร่เกียรติคุณ นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุดสสำหรับเด็กและเยาวชน และสำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก, ISBN 974-7833-35-2 พิมพ์ครั้งที่ 2 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552 หน้า 63 http://www.openbase.in.th/files/pridibook013.pdf

[4] ดร.อัศวิน จินตกานนท์, สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำไมไทยจึงไม่แพ้, วีรชนเสรีไทยกับบทบาทในการรักษาเอกราชของชาติไทย เว็บไซต์ของบริษัททีมกรุ๊ป https://www.teamgroup.co.th/downloads/publications/book221211.pdf

[5] ป๋วย อึ้งภากรณ์, พระบรมวงศานุวงศ์ และขบวนการเสรีไทย, ธันวาคม ค.ศ. 1971,จากหนังสืออนุสรณ์ ในงานพระราชทานเพลิงศพ ร.ท.อู๊ด นิตยสุทธิ ต.ช.ต.ม., อดีตผู้แทนราษฎร จังหวัดนคราราชสีมา ณ ฌาปนสถาน วัดใหม่อัมพร อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2517, หน้า 45-48

[6] ปรีดี พนมยงค์, ความเป็นไปภายในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์, หนังสือบางเรื่องเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2, หน้า 41-49 https://pridi.or.th/sites/default/files/pdf/2515-64.pdf

[7] ทวี บุณยเกตุ, ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ในประเทศไทยระหว่างมหาสงครามโลกครั้งที่ 2, หนังสือ คำบรรยายและบทความบางเรื่องของนายทวี บุณยเกตุ, คุรุสภาจัดพิมพ์เป็นบรรณาการในงานพระราชทานเพลิงศพ นายทวี บุณยเกตุ ม.ป.ช., ท.จ.ว., ท.ม. ณ เมรุหน้าพลับพลา อิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันพุธที่ 8 มีนาคม พุทธศักราช 2515,หน้า 17-19

[8] ทศ พันธุมเสน และจินตนา ยศสุนทร, เรื่องเดียวกัน หน้า 143-144 http://www.openbase.in.th/files/pridibook013.pdf

[9] ทศ พันธุมเสน และจินตนา ยศสุนทร, เรื่องเดียวกัน หน้า 19-20

[10] ปรีดี พนมยงค์, คำปรารภตามคำร้องขอของนายกนธีร์ ศุภมงคล อดีตเลขาธิการ ส.ป.อ. และอดีตที่ปรึกษาของรัฐบาลจอมพลถนอม เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2514, อนุสรณ์ ในงานพระราชทานเพลิงศพ ร.ท.อู๊ด นิตยสุทธิ ต.ช.ต.ม., อดีตผู้แทนราษฎร จังหวัดนคราราชสีมา ณ ฌาปนสถาน วัดใหม่อัมพร อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา, หน้า 84

[11] ทศ พันธุมเสน และจินตนา ยศสุนทร, เรื่องเดียวกัน หน้า 73-74

[12]โรม บุนนาค, นักการเมืองไร้แผ่นดิน, คอลัมน์ เรื่องเก่าเล่าใหม่ หน้า 65-66 นิตยสาร all ฉบับเดือนมกราคม พ.ศ. 2550

[13] ตอนที่ 5 กบฏพระยาทรงสุรเดช, "ย้อนรอยรัฐประหารไทย" สารคดีทางดีเอ็นเอ็น: ศุกร์ที่ 25 มีนาคม 2554

[14] ราชกิจจานุเบกษา,ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องนายทหารออกจากประจำการ, เล่ม 62 ตอนที่ 9, วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2488 หน้า 148-149 http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2488/D/009/148.PDF

[15] ราชกิจจานุเบกษา, พระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดฐานกบฏและจราจล พุทธศักราช 2488, เล่ม 62 ตอนที่ 27, วันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 หน้า 337-341 http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2488/A/027/337.PDF

[16] ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดฐานกบถและจราจล พุทธศักราช 2488, เล่ม 62 ตอนที่ 42, วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2488, หน้า 479-480 http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2488/A/042/479.PDF

[17] รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 16 (สมัยสามัญ สมัยที่สอง) วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พุทธศักราช 2478, หน้า 488-489 https://dl.parliament.go.th/bitstream/handle/lirt/383561/16_24770131_wb.pdf?sequence=1

[18] สุพจน์ แจ้งเร็ว, คดียึดพระราชทรัพย์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ,ศิลปวัฒนธรรม ลำดับที่ 272 ปีที่ 23 ฉบับที่ 8 มิถุนายน 2545, หน้า 62-80

[19] ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสันติภาพ, เล่มที่ 62 ตอนที่ 44 วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 หน้า 503-506 https://dl.parliament.go.th/bitstream/handle/lirt/235501/SOP-DIP_P_419966_0001.pdf?sequence=1

[20] ปรีดี พนมยงค์,คัดลอกบางตอนจาก สุนทรพจน์ ของนายปรีดี พนมยงค์ แสดงให้สภาผู้แทนราษฎร วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 , อนุสรณ์ ในงานพระราชทานเพลิงศพ ร.ท.อู๊ด นิตยสุทธิ ต.ช.ต.ม., อดีตผู้แทนราษฎร จังหวัดนคราราชสีมา ณ ฌาปนสถาน วัดใหม่อัมพร อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. 2517, เผยแพร่เว็บไซต์สถาบันปรีดี, หน้า 11 https://pridi.or.th/sites/default/files/pdf/2515-66.pdf