เบื้องหลังปรีดีเป็นผู้สำเร็จราชการ กับปริศนาการตายรัฐมนตรีไทยสายญี่ปุ่น

รูปแสดงโฆษณา ยาขาว

ฟ้าทะลายโจร

ยาลม 300 จำพวก

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive
 

ถ้าเช่นนั้น อะไรคือสาเหตุที่ทำให้นายปรีดี พนมยงค์ ต้องออกไปจนพ้นจากคณะรัฐมนตรีหลังจากนั้น ปรากฏว่า นายทวี บุณยเกตุ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ๆในขณะนั้น ได้บันทึกเหตุการณ์สำคัญไว้มีความตอนหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับนโยบายการกู้เงินและการพิมพ์ธนบัตรของญี่ปุ่นของกระทรวงการคลัง ดังนี้

 

“ระหว่างวันที่ 11-12 ธันวาคม พ.ศ. 2484 คือภายหลังจากการที่ประเทศไทยได้เซ็นสัญญายอมให้ญี่ปุ่นผ่านประเทศไทยได้ไม่กี่วัน รัฐบาลญี่ปุ่นก็ได้เริ่มเจรจาขอกู้เงินจากไทยงวดแรก เพื่อใช้จ่ายในกิจการทหารของญี่ปุ่น นายปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เสนอความเห็นต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า การที่จะให้รัฐบาลญี่ปุ่นกู้เงินไปใช้จ่ายในกิจการทหารของเขานั้น เข้าใจว่าคงจะไม่กู้เพียงแค่จำนวนนี้ แต่จะขอกู้มาอีกเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด ตามความจำเป็นในทางการทหารของเขา หากเราให้ก็ต้องพิมพ์ธนบัตรเพิ่มขึ้น ทำให้มีธนบัตรหมุนเวียนในท้องตลาดมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จะเป็นผลเสียหายทางเศรษฐกิจ คือจะทำให้เกิดเงินเฟ้อ จึงเห็นว่าควรให้ทหารญี่ปุ่นพิมพ์ธนบัตรของเขาขึ้นใช้เองในกองทัพของเขา เรียกว่า Invasion Notes (ธนบัตรที่ฝ่ายเข้ายึดครองพิมพ์ออกมาใช้)จะดีกว่า ทั้งนี้เพื่อว่าเมื่อสงครามเสร็จสิ้นลงแล้ว เราจะได้ประกาศยกเลิกธนบัตรเหล่านี้ เมื่อเสร็จสงครามแล้ว การเงินและการเศรษฐกิจของประเทศก็จะได้ไม่ถูกกระทบกระเทือนและจะได้ไม่เกิดเงินเฟ้อขึ้น

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแย้งว่า การที่จะปฏิบัติตามความเห็นและตามข้อเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้น แม้จะเป็นการป้องกันมิให้เกิดเงินเฟ้อขึ้นได้ก็ตาม แต่ก็เท่ากับเป็นการแสดงว่าเราได้เสียเอกราชและอธิปไตยไปแล้ว จึงไม่เห็นด้วย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจึงแถลงค้านว่า ก็การที่เรายอมให้ทหารญี่ปุ่นเข้ามาอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองและทำอะไรได้ต่างๆนั้น ไม่ได้แปลว่าเราได้เสียเอกราชและอธิปไตยไปแล้วหรือ

ในเรื่องนี้มีการถกเถียงกันอย่างรุนแรง ระหว่างนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แต่ในที่สุดนายกรัฐมนตรีก็ได้ยืนยันในความเห็นที่จะให้ญี่ปุ่นยืมเงินบาท โดยพิมพ์ธนบัตรออกใช้ให้มากขึ้นตามความจำเป็น”[15] นอกจากนั้นยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้เสนอให้รัฐบาลไทยรับหลักการในเรื่องเงินตราสามประการคือ
(ก) ให้กำหนดค่าเงินบาทเท่ากับเงินเยน คือในอัตราแลกเปลี่ยน 1 บาท ต่อ 1 เยน

(ข) การชำระเงินระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทยให้ชำระเงินด้วยเงินเยน และ

(ค) ให้ตั้งธนาคารกลางขึ้นเป็นเจ้าหน้าที่เงินตรา โดยให้มีที่ปรึกษาและหัวหน้าหน่วยงานต่างๆเป็นชนชาติญี่ปุ่น[17]

ปรากฏว่าพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ไชยันต์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาการคลัง ของนายปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทรงเห็นว่าข้อเสนอแรกของญี่ปุ่นเป็นการกำหนดค่าเงินบาทให้ต่ำกว่าความเป็นจริงไปกว่า 33 เปอร์เซ็นต์ เพราะในขณะนั้นเงินบาทมีค่าสูงกว่าเงินเยน (คือ 1 บาทแลกได้ 1.5507 เยน) แต่เมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นยืนยันเป็นเด็ดขาดในข้อเสนอนี้รัฐบาลก็ต้องยอมรับไป

สำหรับข้อเสนอข้อสองนั้นรัฐบาลต้องยอมรับโดยปริยาย เพราะการสงครามในขณะนั้นบังคับมิให้มีการค้าขายติดต่อกับประเทศใดอีกได้นอกจากประเทศญี่ปุ่น

แต่สำหรับข้อเสนอข้อที่สามนั้นรัฐบาลไทยมิได้ยอมรับในทันที เพราะจะเท่ากับว่ายอมให้ญี่ปุ่นเข้ามาควบคุมเงินตราและเครดิตขอไทยโดยตรง อันเป็นความประสงค์ของญี่ปุ่นในขณะนั้น โดยพระองค์เจ้าวิวัฒนไชยได้ทรงวางแผนร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 อย่างเร่งด่วนพระองค์เองให้เป็นผลสำเร็จ เพื่อไม่ให้ญี่ปุ่นเข้ามาแทรกแซงการเงินของประเทศไทย [17]

อย่างไรก็ตามการเจรจาที่รุกคืบฝ่ายไทยนั้น นายวนิช ปานะนนท์ ได้กลายเป็นบุคคลที่มีความสำคัญในการเจรจาร่วมกับไทยญี่ปุ่น โดยเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2484 นายวนิช ปานะนนท์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผสมระหว่างไทย-ญี่ปุ่น [1]

หลังจากนั้นเพียงวันเดียวปรากฏว่าวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2484 นายปรีดี พนมยงค์ ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติเงินตรา (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2484 ที่กำหนดให้ค่าเงินบาทไทยนั้นจะต้องเทียบกับทองคำหรือเงินตราต่างประเทศที่หนุนหลัง ไม่ใช่พิมพ์ธนบัตรโดยไร้กฎเกณฑ์ใดๆ [18]

การวางรากฐานกฎหมายดังกล่าวเอาไว้ล่วงหน้า เป็นผลทำให้ในเวลาต่อมาพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ไชยันต์ ได้ทรงเจรจากับฝ่ายญี่ปุ่นจนยอมตกลงให้ฝ่ายไทยใช้เงินเยนซึ่งญี่ปุ่นเครดิตบัญชีธนาคารแห่งประเทศไทยไว้นั้น ซื้อทองคำเก็บไว้ได้เป็นครั้งคราว ทำให้ทุนสำรองเงินตราของไทยมีค่าสูงขึ้นยิ่งกว่าที่จะเก็บไว้เป็นเงินเยน และก็ได้มาบางส่วนเท่าที่การขนส่งในระหว่างสงครามจะอำนวยให้ ส่วนที่เหลือตกค้างอยู่ในประเทศญี่ปุ่นนั้น เมื่อเสร็จสงครามแล้วทางไทยก็ได้รับคืนมาในที่สุด แทนที่จะได้เงินเยนซึ่งแทบไร้ค่าหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

                                                                                     

 

อย่างไรก็ตามความขัดแย้งในด้านการเงินและการคลัง เป็นหัวใจสำคัญอย่างยิ่งต่อการเอื้อประโยชน์ของการเข้ามาของญี่ปุ่น จากคำให้การของ พล.ต.อ.อดุล อดุลเดชจรัส รองนายกรัฐมนตรี อธิบดีกรมตำรวจ พบว่าหลังจากนั้นญี่ปุ่นไม่พอใจในบทบาทของนายปรีดี พนมยงค์ และอาจมีการรายงานเรื่องภายในคณะรัฐมนตรีไปให้ฝ่ายญี่ปุ่นได้รับทราบ ดังปรากฏคำให้การของพล.ต.อ.อดุล อดุลเดชจรัส คณะกรรมการตามตามพระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม ความว่า

“ข้าพเจ้าได้ไปที่วังสวนกุหลาบ ซึ่งเป็นที่พักของนายกรัฐมนตรีในเวลานั้น ได้พบนายกรัฐมนตรีกับนายวนิช ปานะนนท์ นายวนิชฯ ได้พูดว่าทางฝ่ายญี่ปุ่น มีความรังเกียจหลวงประดิษฐ์มนูธรรม และนายวิลาศ โอสถานนท์ เพราะสองคนนี้มีความคิดเอนเอียงไปทางอังกฤษ คณะรัฐมนตรีมีความคิดเห็นว่าร่วมกับญี่ปุ่นด้วยประการใดๆก็ทำไปไม่สะดวก เพราะสองคนนี้มีความคิดเห็นไม่ตรงกับญี่ปุ่น

เขาจะให้สองคนนี้ออกจากคณะรัฐมนตรี เฉพาะหลวงประดิษฐ์มนูธรรมนั้น ฝ่ายญี่ปุ่นเสนอว่าควรแต่งตั้งให้เป็นคณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ที่ญี่ปุ่นมีความประสงค์จะให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรม เป็นคณะผู้สำเร็จราชการนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าหลวงประดิษฐ์มนูธรรมยังเป็นผู้มีอิทธิพล ข้าราชการและประชาชนนับถืออยู่มาก ถ้าให้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแล้ว จะได้พ้นจากหน้าที่การเมือง และญี่ปุ่นคงคิดว่าจะไม่ทำให้ประชาชนเห็นว่าญี่ปุ่นรังแกหลวงประดิษฐ์มนูธรรม”[15]

วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบให้นายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามความเห็นของจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี และเป็นผลทำให้นายปรีดี พนมยงค์ ต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโดยทันที [19]

17 ธันวาคม พ.ศ. 2484 นายวนิช ปานะนนท์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี และรัฐมนตรีสั่งราชการ กระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ [1] โดยต่อมาเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2484 น.อ.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ร.น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้แจ้งผลการสอบสวนความบริสุทธิ์ของนายวนิช ปานะนนท์ ต่อกรณีมีจดหมายสนเท่ห์ที่ได้มาตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2484 ความตอนหนึ่งว่า

“มีกิจการที่ควรจะกล่าวอยู่ 2 ประการ ก็คือ ในระหว่างที่นายวนิช ไปดำเนินการเจรจาในเรื่องการไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทกับอินโดจีนนั้นประการหนึ่ง

และอีกประการหนึ่งก็คือรัฐบาลไทยได้ซื้อทองจากประเทศญี่ปุ่นอีกส่วนหนึ่ง ทั้งสองอย่างนี้ มีการกล่าวหาและกรรมการได้สอบสวนแล้ว ปรากฏจากผลของกรรมการสอบสวนว่า เท่าที่ในระหว่างการกระทำการไปนั้น ก็ได้กระทำไปภายในกรอบคำสั่งของผู้บังคับบัญชา... ส่วนเกี่ยวกับทางกรมตำรวจนั้น ก็ไม่ปรากฏว่ามีเรื่องราวอะไรที่ต้องดำเนินการต่อไป” [20]

ต่อมาวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2484 รัฐบาลไทยได้ทำพิธีลงนามร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นที่อุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หลังจากนั้นสถานการณ์ผลจากสงครามรุนแรงขึ้น วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 รัฐบาลไทยจึงได้ถลำลึกลงไปลงนามเป็นพันธมิตรทางการทหารกับฝ่ายอักษะอย่างเต็มตัว โดยมีการลงนามโดยผ่านสถานทูตญี่ปุ่นและเยอรมันประจำกรุงเทพมหานคร และได้ยกเลิกความสัมพันธ์กับประเทศกลุ่มฝ่ายสัมพันธมิตรทั้งหมด

หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน นายวนิช ปานะนนท์ จนได้รับเครื่องราชอิสสริยาภรณ์ซุยโฮ ชั้นหนึ่งจากญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2485

นับจากนั้นเป็นต้นมา นายวนิช ปานะนนท์ ได้เป็นบุคคลสำคัญในการเจรจาระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในหลายมิติเป็นลำดับ กล่าวคือ

เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2485 นายวนิช ปานะนนท์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะทูตเศรษฐกิจไทยไปเจรจาการเศรษฐกิจและการคลัง กับรัฐบาลญี่ปุ่น ณ กรุงโตเกียว ต่อมาในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2485 นายวนิช ปานะนนท์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการพิจารณาการเงินของชาติ และวันที่25 พฤษภาคม พ.ศ. 2485 นายวนิช ปานะนนท์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ [1]

นอกจากนั้น ตามคำให้การของนายทวี บุณยเกตุ ในฐานะอดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรีสมัยนั้น ได้ให้การไว้ต่อคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2488 ความตอนหนึ่งว่า

“ตามปกติ จอมพล ป.พิบูลสงคราม มักใช้หลวงวิจิตรวาทการ นายวนิช ปานะนนท์ นายพลตรีประยูร ภมรมนตรี นายพลตรีไชย ประทีปเสน พระบริภัณฑ์ยุทธกิจ พลเรือโทสินธุ์ กมลนาวิน ไปติดต่อกับฝ่ายญี่ปุ่นและฝ่ายอักษะ ท่าทีของพวกนี้รับใช้อยู่นี้นิยมชอบชอบฝ่ายญี่ปุ่น แต่พระบริภัณฑ์ยุทธกิจท่าทีไม่ปรากฏชัด” [21]

สอดคล้องกับคำให้การของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา อดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ทรงให้การเอาไว้ต่อคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2488 ความตอนหนึ่งถึงคนในรัฐมนตรีหรือบุคคลที่สนิทชิดชอบกับจอมพล ป. ที่มีความนิยมชอบชอบฝ่ายญี่ปุ่นและอักษะความตอนหนึ่งว่า

“ฝ่ายที่นิยมอักษะและพูดว่า ฝ่ายอักษะจะต้องชนะสงครามแน่นอน และฝ่ายอังกฤษและอเมริการจะต้องพ่ายแพ้แน่ มี 1) นายประยูร ภมรมนตรี 2) หลวงพรหมโยธี 3) หลวงสินธุสงครามชัย 4) หลวงวิจิตรวาทการ 5) ขุนนิรันดรชัย 6)พลตรีไชย ประทีปเสน ผู้ที่นิยมญี่ปุ่นออกหน้าออกตาก็มี หลวงวิจิตรวาทการ นายวนิช ปานะนนท์ หลวงสินธุสงคราม... ส่วนขุนนิรันดรชัยนั้นต้องการให้สงครามยืดเยื้อไปอีกนานๆจะได้ทำการค้าขายได้ต่อไปอีก”[22]

โดยเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นแล้ว รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ดำเนินนโบายที่เอื้ออำนวยต่อญี่ปุ่นหลายประการ ดังเช่น

 

ดำเนินการควบคุมและยึดบริษัทน้ำมันที่สำคัญ 2 บริษัทคือ บริษัท สแตนดาร์ด แวคัม ออยส์ (Standard Vacum Oil Co., Ltd.) และบริษัท เชลล์ (Shell Co., Ltd.) และรัฐบาลเข้าทำการกลั่นเอง[16] และทำการขยายโรงกลั่นทั้ง 2 ให้ทันสมัยได้รับความช่วยเหลือจากญี่ปุ่น โดยแห่งหนึ่งอยู่ที่ตำบลช่องนนทรี อีกแห่งหนึ่งอยู่ที่บางจาก ปรากฏว่าน้ำมันจากโรงกลั่นทั้ง 2 นี้ถูกนำมาใช้ในการทหารซึ่งญี่ปุ่นต้องการมากในขณะนั้น[23]

เช่นเดียวกับธุรกิจค้าข้าว ภายหลังจากการที่เจ้าของโรงสีข้าวต้องถูกบีบด้วยมาตรการทางภาษีจนต้องปิดกิจการ และบังคับปิดกิจการ จนโรงสีข้าวทั้งหลายต้องเอาโรงสีมาให้บริษัท ข้าวไทย จำกัดเช่าไปดำเนินการแบบผูกขาดกิจการค้าข้าวแทน [24] และต่อมารัฐบาลได้ตกลงใจให้ “สิทธิการส่งข้าวออกนอกประเทศแก่ญี่ปุ่น” คือ บริษัทมิตซุยและบริษัทมิตซูบิชิ [25]

นอกจากนั้นสำนักงานธนาคารไทย ได้มีส่วนในการจัดให้ธนาคารไทย 3 ธนาคาร อันได้แก่ ธนาคารเอเซียเพื่ออุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม (จัดตั้งด้วยเงินทุนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง, ธนาคารนครหลวงไทย (จัดตั้งด้วยเงินทุนของขุนนิรันดรชัยและคณะ), และธนาคารมณฑล (จัดตั้งด้วยเงินทุนของรัฐบาลและบริษัท ข้าวไทย จำกัด)ได้ร่วมกันให้ธนาคารโยโกฮามาสเปซี กู้เงินจำนวนมากถึง 10,000,000 บาท เพื่อช่วยส่งเสริมการค้ากับญี่ปุ่นมิให้ติดขัด[26]

โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารมณฑล ซึ่งก่อตั้งเมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2485 นั้น มีทุนจดทะเบียนก่อตั้งด้วยทุนมากถึง 10,000,000 บาท โดยกระทรวงการคลังถือหุ้น ร้อยละ 50.65 และบริษัท ข้าวไทย จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 45.17 มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นฐานการเงินให้บริษัท ข้าวไทย จำกัด ในการส่งข้าวขายให้กับญี่ปุ่น[27]

โดยฐานสำคัญของทั้งบริษัท ข้าวไทย จำกัด และธนาคารมณฑล นั้นล้วนแล้วแต่มีนายวนิช ปานะนนท์ เป็นกรรมการบริษัททั้งสิ้น ยังไม่นับว่านายวนิช ปานะนนท์ นั้นเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่อการสนับสนุนน้ำมันสำหรับการเป็นยุทธปัจจัยให้กับญี่ปุ่นอีกด้วย

 

จนในที่สุดวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ.2486 นายวนิช ปานะนนท์ ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง [1]

ต่อมาวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2487 พล.ต.อ.อดุลฯ รองนายกรัฐมนตรี และอธิบดีกรมตำรวจ ได้สั่งจับกุมนายวนิชฯ ในข้อหาทุจริต ควบคุมตัวไว้สอบสวนที่กองตำรวจสันติบาล โดยที่จอมพล ป.พิบูลสงครามไม่สามารถจะช่วยอะไรได้ ซึ่งต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมาที่จอมพล ป.พิบูลสงครามออกหน้ารับแทนเองทั้งหมด

ส่วนนายพลอาเคโตะ นากามูระ ตำแหน่งแม่ทัพญี่ปุ่นในประเทศไทยได้บันทึกถึงสาเหตุของการที่นายวนิช ปานะนนท์ถูกสอบสวนด้วยข้อหาการกระทำความผิดทางกฎหมายเกี่ยวกับ “การค้าทองคำ” ซึ่งทางฝ่ายญี่ปุ่นได้พากเพียรขอร้องต่อฝ่ายไทยให้ปฏิบัติกับนายวนิช ปานะนนท์ อย่างมีเมตตาธรรม[28]

โดยในระหว่างการสอบสวนนั้นเองจากบันทึกข้อความของ ร.ต.อ.เฉียบ ชัยสงค์ ได้ระบุถึงช่วงเวลา การสอบสวนของนายวนิช ปานะนนท์ ความตอนหนึ่งว่า

นายวนิช ปานะนนท์ส่ายหน้าแล้วหยิบซองบุหรี่นาค ซึ่งเป็นของที่ระลึกจากจอมพล ป. พิบูลสงครามว่า “เจรจาดีที่โตเกียว” แล้วกล่าวว่า

“ผมได้ซองบุหรี่นี้เป็นที่ระลึกพิเศษทีเดียว แต่ลายเซ็นอันนี้ก็ช่วยอะไรผมไม่ได้ “[9]

โดย ร.ต.อ.เฉียบ ชัยสงค์ เจ้าพนักงานสอบสวนยังได้บันทึกต่ออีกว่า

“ข้าพเจ้าสงสารเขา แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เสียจริง ๆ แม้แต่เขาจะร้องขอให้ข้าพเจ้าโทรศัพท์ไปที่บ้าน เพื่อขอร้องให้ภรรยาสุดที่รักของเขาตำน้ำพริกส้มมะขามส่งไปให้กินในเย็นวันนั้น ข้าพเจ้าผู้มีวินัยจัดก็มิได้ผ่อนผันให้เขาเสียเลย และต่อมาไม่นานนักเขาก็จากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันจะฟื้นขึ้นมาอีก”[9]

ภายหลังจากการที่นายวนิช ปานะนนท์ ถูกคุมขังเพื่อทำการสอบสวนอยู่ประมาณปีเศษ ต่อมาวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2487 นายวนิชฯได้ถึงแก่กรรม โดยรัฐบาลประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็นการฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอ ซึ่งเรื่องนี้ฝ่ายญี่ปุ่นไม่มีใครเชื่อ จึงได้ยื่นเรื่องขอเข้าทำงานสอบสวน

อย่างไรก็ดี นายพลอาเคโตะ นากามูระ ได้กล่าวว่าเรื่องจบลงโดยที่ฝ่ายครอบครัวของนายวนิช คือ “หลวงสินธุ์สงครามชัย” ในฐานะพี่เขยของนายวนิชได้มีหนังสือตอบทุกฝ่ายว่า ทางครอบครัวของนายวนิชไม่มีอะไรติดใจ และไม่มีความประสงค์ให้มีการพิสูจน์ความจริงใดๆเพิ่มเติม [28]

ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงนั้นไม่มีใครทราบ แต่นายพลอาเคโตะ นากามูระก็ได้บันทึกสันนิษฐานว่าพล.ต.อ.อดุล อดุลเดชจรัส น่าจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง[28] และหากสมมุติว่าจะเป็นกรณีการฆาตกรรม ก็ต้องพิจารณาต่อไปว่าในความเป็นจริงแล้วใครจะได้ประโยชน์มากที่สุดจากบุคคลที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำและกำลังถูกสอบสวนในเรื่องการทุจริตค้าทองคำที่เกิดขึ้น แต่ถูกอำพรางว่าเป็นการฆ่าตัวตาย

ข้อสังเกตประการหนึ่งที่ควรบันทึกเอาไว้คือ นายวนิช ปานะนนท์ เสียชีวิตวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2487 (ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม) แต่กว่าจะได้จัดงานในฌาปนกิจศพ คือวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2490 (ในสมัยรัฐบาลพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์) หรือเวลาห่างกันประมาณ 2 ปี 10 เดือน

ด้วยเพราะระยะเวลานานมากนับจากวันเสียชีวิตของนายวนิช ปานะนนท์ ถึงวันจัดงานฌาปนกิจศพ แต่กลับไม่ปรากฏคำไว้อาลัยในหนังสืองานฌาปนกิจศพลจากผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในขณะนั้น และรวมถึงไม่มีคำไว้อาลัยจากอดีตนายกรัฐมนตรีคนใดในหนังสืองานฌาปนกิจศพเล่มดังกล่าวนี้เลย คงมีแต่คำไว้อาลัยและขอบคุณจากนายสิงห์ ไรวา หรือ พระนรราชจำนง ข้าราชการกระทรวงเศรษฐการที่เคยทำงานร่วมกันมาเท่านั้น[1]

ส่วนพระนรราชจำนงซึ่งเป็นคนเดียวที่ได้เขียนคำไว้อาลัยถึงนายวนิช ปานะนนท์นั้น ก็เป็นผู้หนึ่งซึ่งได้เคยถูกพาดพิงในการตั้งกระทู้ถามโดยนายเลียง ไชยกาล เมื่อคราวประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 12 (สมัยวิสามัญ สมัยที่สอง) ซึ่งเป็นการตั้งกระทู้ถามพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา เรื่อง ผู้ที่ดินของพระมหากษัตริย์ในราคาถูกๆ เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2480 พาดพิงว่า เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2480 นั้น พระนรราชจำนง ได้ซื้อ โฉนดของสำนักพระคลังข้างที่ เลขที่ 2110 อำเภอบางรัก ราคา 6,614 บาท[29] จริงหรือไม่

ด้วยความปรารถนาดี

ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

อ้างอิง

[1] ประวัตินายวนิช ปานะนนท์, ประชุมพงศาวดารภาคที่ 39 เรื่องจดหมายเหตุของคณะบาดหลวงฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาตั้งครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศ กับครั้งกรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทรตอนต้น ภาค 6, พิมพ์เป็นที่ระลึกในงานฌาปนกิจศพ นายวนิช ปานะนนท์, ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2490

[2] คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาล นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส, คำให้การต่อศาลอาชญากรสงคราม เอกสารประวัติศาสตร์,พิมพ์ครั้งแรก พฤศจิกายน 2545, พิมพ์ที่เจริญวิทย์การพิมพ์, เลขมาตฐานสากลประจำหนังสือ 974-7834-35-9 หน้า 166 ^ http://www.openbase.in.th/files/pridibook011.pdf

[3] ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พุทธศักราช 2481, เล่ม 56, วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2481, หน้า 327-333 https://dl.parliament.go.th/backoffice/viewer2300/web/previewer.php

[4] สังศิต พิริยะรังสรรค์, ทุนนิยมขุนนางไทย พ.ศ. 2475-2504, จัดพิมพ์โดยสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พิมพ์ที่โรงพิมพ์เทพประทานพร, พ.ศ. 2526, หน้า 100-106

[5] กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์, งบดุลของบริษัท ข้าวไทย จำกัด, 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2482 บริษัทข้าวไทยได้เพิ่มทุนขึ้นเป็น 6,000,000 บาท ในปี พ.ศ. 2489 กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์, รายงานการประชุมของบริษัท ข้าวไทย จำกัด พ.ศ. 2489

[6] สมบุญ ไผทฉันท์, ผู้จัดการสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ (อดีตเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทข้าวไทย ปี พ.ศ. 2482-2515 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายปกครองและเลขนุการของบริษัทข้าวไทย), สัมภาษณ์วันที่ 26 ตุลาคม 2522

[7] รัศมี ชาตะสิงห, “บทบาทของพลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนาในระยหกปีแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง (พ.ศ. 2476-2481),วิทยานิพนธ์ อักษรศาสตรมหาบัณฑิต แผนกวิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตยวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2521 หน้า 490

[8] ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าพระราชทานยศ จอมพล จอมพลเรือและจอมพลอากาศ แก่นายพลตรี หลวงพิบูลสงคราม ด้วยคธาจอมพล, เล่มที่ 58 วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2484 หน้า 981-984 http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2484/A/981.PDF

[9] บันทึกข้อความของ ร.ต.อ.เฉียบ ชัยสงค์ ภายหลังถูก พ.ท.ผิน ชุณหะวัณ มีคำสั่งปลดอออกจากราชการเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490

[10] หนังสือพิมพ์ศรีกรุง, ข่าวทองคำจะถึงแล้ว ทางการญี่ปุ่นให้ความอารักขาในการนำส่ง ทางเราได้จัดตั้งคณะกรรมการรับมอบแล้ว, ปีที่ 22 ฉะลับที่ 4774 วันพุธที่ 8 ตุลาคม 2484,หน้า 11 ต่อหน้าหลัง

[11] พีระ เจริญวัฒนนุกูล, การ(บ่น)ลาออกแต่ไม่ยอมออก เครื่องมือทางการเมืองของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม, ศิลปวัฒนธรรม ฉบับสิงหาคม 2559, เผยแพร่ลงเว็บไซต์ศิลปวัฒนธรรม,วันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2563 https://www.silpa-mag.com/history/article_43489

[12] บัตรสนเท่ห์และการตั้งการสืบสวนกรณีดังกล่าวได้จาก (3) สร. 0201.2.7/49 เรื่อง นายวนิช ปานะนนท์, นายยล สมานนท์ กับพวกทุจริตเรื่องขายทองของธนาคารไทยจำกัด (14 ก.ย.-20 มี.ค. 2488). ทั้งนี้ ดูความร้อนรนใจของญี่ปุ่นที่จะช่วยเหลือนายวนิชในกรณีดังกล่าวได้จากเอกสารชุดเอกสารที่ฝ่ายอเมริกันตัดสัญญาณได้จาก Tsubokami Teiji (19 September 1941). in The “Magic” Background of Pearl Harbour. (Washington, D.C. : Department of Defense, 1977), V. 3 Appendix, p. A-649.

[13] รายงานประชุมคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 56/2484 วันที่ 22 ตุลาคม 2484

[14] คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาล นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส, คำให้การต่อศาลอาชญากรสงคราม เอกสารประวัติศาสตร์,พิมพ์ครั้งแรก พฤศจิกายน 2545, พิมพ์ที่เจริญวิทย์การพิมพ์, เลขมาตฐานสากลประจำหนังสือ 974-7834-35-9 หน้า 165

[15] สุพจน์ ด่านตระกูล, บทนำวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2544 หนังสือคำการต่อศาลอาชญากรสงคราม เอกสารประวัติศาสตร์,พิมพ์ครั้งแรก พฤศจิกายน 2545, คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาล นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสพิมพ์ที่เจริญวิทย์การพิมพ์, เลขมาตฐานสากลประจำหนังสือ 974-7834-35-9 หน้า 1-25

[16] คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาล นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส, คำให้การต่อศาลอาชญากรสงคราม เอกสารประวัติศาสตร์,พิมพ์ครั้งแรก พฤศจิกายน 2545, พิมพ์ที่เจริญวิทย์การพิมพ์, เลขมาตฐานสากลประจำหนังสือ 974-7834-35-9 หน้า 64 http://www.openbase.in.th/files/pridibook011.pdf

[17] วิวัฒนไชยานุสรณ์, ธนาคารแห่งประเทศไทย พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ณ เมรุ วัดเทพศิรินทราวาส , วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ.2505, หน้า 29-33

[18] รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร, ครั้งที่ 2/2484 (วิสามัญครั้งที่ 3) สมัยที่ 2 ชุดที่ 3 วันอังคารที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม, หน้า 36-38 https://dl.parliament.go.th/bitstream/handle/lirt/73406/2_24841212_wb.pdf?sequence=1

[19] รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร, ครั้งที่ 3/2484 (วิสามัญครั้งที่ 3) สมัยที่ 2 ชุดที่ 3 วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม, หน้า 46-49 https://dl.parliament.go.th/bitstream/handle/lirt/73407/3_24841216_wb.pdf?sequence=1

[20] รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร, ครั้งที่ 4/2484 (วิสามัญครั้งที่ 3) สมัยที่ 2 ชุดที่ 3 วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม, หน้า 61-63 https://dl.parliament.go.th/bitstream/handle/lirt/73408/4_24841223_wb.pdf?sequence=1

[21] คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาล นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส, คำให้การต่อศาลอาชญากรสงคราม เอกสารประวัติศาสตร์,พิมพ์ครั้งแรก พฤศจิกายน 2545, พิมพ์ที่เจริญวิทย์การพิมพ์, เลขมาตฐานสากลประจำหนังสือ 974-7834-35-9 หน้า 138-139 http://www.openbase.in.th/files/pridibook011.pdf

[22] เรื่องเดียวกัน, หน้า 124-125

[23] ผาณิต รวมศิลป์, “นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามตั้งแต่ พ.ศ. 2481 ถึง พ.ศ. 2487” วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต แผนกวิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พ.ศ. 2521 หน้า 372-375

[24] สังศิต พิริยะรังสรรค์, ทุนนิยมขุนนางไทย พ.ศ. 2475-2504, จัดพิมพ์โดยสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พิมพ์ที่โรงพิมพ์เทพประทานพร, พ.ศ. 2526, หน้า 97

[25] ผาณิต รวมศิลป์, “นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามตั้งแต่ พ.ศ. 2481 ถึง พ.ศ. 2487” วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต แผนกวิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พ.ศ. 2521 หน้า 76

[26] ธนาคารแห่งประเทศไทย, “ประวัติธนาคารแห่งประเทศไทย”(พระนคร:ธนาคารแห่งประเทศไทย, 2513), อนุสรณ์พระราชทานเพลิงศพ พลเอกเภา บริภัณฑ์ยุทธกิจ ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2523, หน้า 2

[27] พรรณี บัวเล็ก, วิเคราะห์นายทุนธนาคารพาณิชย์ของไทย พ.ศ. 2475-2516, สำนักพิมพ์สร้างสรรค์วิชาการจำกัด ร่วมกับ โครงการหนังสือเล่ม สถาบันวิจัยจุฬาลงกรณ์พิมพ์ครั้งที่ 1 ธันวาคม 2529, จำนวน 1,000 เล่ม, ISBN 974-567-234-2, หน้า 49-50

[28] นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, ไทย-ญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง จากสายตาของแม่ทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทย, นำเสนอในงานวิชาการในปี พ.ศ. 2532 จัดพิมพ์โดยมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ปี 2534,หน้า 39-40 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/japanese/article/download/52233/43310

[29] รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 12 (สมัยวิสามัญ สมัยที่สอง) กระทู้ถามเรื่อง ที่ดินของพระมหากษัตริย์ ของนายเลียง ไชยกาล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี ถามนายกรัฐมนตรี และญัตติด่วน เรื่องขออภิปรายทั่วไปในนโนบายของรัฐบาลว่าด้วยการจัดการทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ โดยนายไต๋ ปาณิกบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดพระนคร,วันที่ 27 กรกฎาคม 2480 หน้า 302 https://dl.parliament.go.th/bitstream/handle/lirt/383977/12_24800727_wb.pdf?sequence=1