สิ่งที่น่าสนใจก็คือตามกฎหมาย พระราชบัญญัติ สิทธิบัตร พ.ศ. 2522 นั้น อำนาจในการรับคำขอสิทธิบัตร ตรวจสอบเบื้องต้น ประกาศโฆษณาคำขอสิทธิบัตร
ยกคำขอ รับจดทะเบียน รวมไปถึงการออกสิทธิบัตรนั้น ล้วนแล้วแต่อยู่ในอำนาจของ “อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา” เพียงคนเดียวทั้งสิ้น
“อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา” มีผู้บังคับบัญชาคือ รองปลัดและปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นเจ้ากระทรวง
ดังนั้นตามปกติแล้วอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาก็ต้องทำตามนโยบายผู้บังคับบัญชาตามลำดับ ไม่สามารถที่จะขัดขืนต่อนโยบายได้
เพราะถ้าขัดขืนต่อผู้บังคับบัญชาแล้ว ผู้ที่ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาก็ย่อมมีสิทธิที่จะถูกโยกย้ายไปอยู่ในตำแหน่งอื่นได้ จริงหรือไม่?
แต่เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อสิทธิบัตรกัญชาที่ใช้อำนาจในระดับอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งควรจะใช้อำนาจการบังคับบัญชาสั่งการในระดับไม่เกินรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แต่กลับปรากฏว่าต้องใช้ถึงระดับคณะรัฐมนตรีในการสั่งการด้วยเพราะเหตุผลใด ?
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2561 พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแจ้งผลมติคณะรัฐมนตรีความตอนหนึ่งว่า:
“ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีการพูดคุยกันเรื่องสิทธิบัตรกัญชาด้วย โดยขอให้การตรวจสอบระเบียบที่เกี่ยวข้อง ขอให้ชะลอไว้ก่อน อย่าเพิ่งให้มีผลบังคับใช้ เพราะรัฐบาลจะต้องดูเรื่องความพร้อมและศักยภาพของคนไทยให้ดีก่อน”
คำถามที่น่าชวนสงสัยมีอยู่ว่า อะไรที่ทำให้อำนาจที่ใช้ในระดับเพียงแค่อธิบดีคนหนึ่ง ในกระทรวงพาณิชย์ ถึงกลับต้องใช้อำนาจในระดับมติคณะรัฐมนตรีในการสั่งการชะลอการบังคับใช้สิทธิบัตรกัญชาของต่างชาติ?
ความน่าสนใจที่ตามมาก็คือเหตุใดสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับกัญชาในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เข้ามาบริหารประเทศนั้น ได้มีการประกาศโฆษณาคำขอสิทธิบัตรจำนวนทั้งสิ้น 6 ฉบับ และทั้ง 6 ฉบับนั้นมาจากกลุ่มเดียวกันทั้งหมด คือ
“โอซูกะ ฟาร์มาซูติคอล คอมปะนี ลิมิเต็ด ร่วมกับ จีดับเบิลยู ฟาร์มา ลิมิเต็ด”
ประกาศโฆษณาคำขอสิทธิบัตรที่เกี่ยวกับสารสกัดจากกัญชา 6 ฉบับ ที่ประเคนให้กลุ่มบริษัทนี้ ครอบคลุมถึงการบำบัดรักษาโรคสำคัญดังต่อไปนี้ คือ โรคลมบ้าหมู โรคลมชัก ใช้ร่วมกันกับยาต้านโรคลมบ้าหมูมาตรฐาน โรคจิตและความผิดปกติทางจิต โรคสภาวะทางประสาทวิทยา โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้
โดยในสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรก่อนหน้านี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญาก็เคยประกาศโฆษณาคำขอสิทธิบัตรให้กับกลุ่มบริษัทเดียวกันนี้มาแล้ว เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เป็นคำขอสิทธิบัตรในการใช้สารสกัดกัญชาเพื่อรักษาโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งสมองชนิดไกลโอมา และชนิดไกลโอบลาสโตมา มัลติฟอร์มด้วย
สรุปก็คือกรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้ประกาศโฆษณาคำขอสิทธิบัตรกัญชาของ “โอซูกะ ฟาร์มาซูติคอล คอมปะนี ลิมิเต็ด ร่วมกับ จีดับเบิลยู ฟาร์มา ลิมิเต็ด” ไปแล้วทั้งสิ้น 7 ฉบับ โดยการประกาศโฆษณาคำขอมาจาก กรมทรัพย์สินทางปัญญา สมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 1 ฉบับ และมาจากสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชามากที่สุดถึง 6 ฉบับ
ความน่าสนใจไปกว่านั้น แม้กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เคยแจ้งปฏิเสธคำขอภายหลังจากโฆษณาคำขอไปทั้งสิ้น 3 ฉบับ ซึ่งทั้ง 3 ฉบับนั้นก็กลับกลายเป็นบริษัทอื่นๆ แต่กรมทรัพย์สินทางปัญญากลับไม่เคยปฏิเสธคำขอบริษัท “โอซูกะ ฟาร์มาซูติคอล คอมปะนี ลิมิเต็ด ร่วมกับ จีดับเบิลยู ฟาร์มา ลิมิเต็ด” เลย จริงหรือไม่?
ดังนั้นประกาศโฆษณาคำขอ 7 สิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับสารกัญชา ที่มีอยู่ในประเทศไทยในขณะนี้ มีเหตุที่เกิดขึ้นพร้อมกันอย่างน่าสนใจอย่างยิ่ง 5 ประการ กล่าวคือ
1. เอื้อประโยชน์ประกาศโฆษณาคำขอให้กลุ่มบริษัทเดียวกันทั้งหมด
กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศโฆษณาคำขอสิทธิบัตรสารสกัดกัญชาให้ “กลุ่มบริษัทเดียวเท่านั้น” ถึง 6 คำขอ คือ “โอซูกะ ฟาร์มาซูติคอล คอมปะนี ลิมิเต็ด ร่วมกับ จีดับเบิลยู ฟาร์มา ลิมิเต็ด” และทำให้กลุ่มบริษัทนี้เป็นกลุ่มบริษัทเดียวที่มีการประกาศโฆษณาคำขอสารสกัดกัญชามากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย
2. ปฏิเสธคำขอบริษัทอื่นๆ ยกเว้นกลุ่มบริษัทเดียว
กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการปฏิเสธคำขอภายหลังจากมีการประกาศโฆษณาคำขอไปแล้วจำนวนทั้งสิ้น 3 ฉบับ โดยใช้เหตุผลการปฏิเสธคำขอตามมาตรา 5 ของ พระราชบัญญัติ สิทธิบัตร พ.ศ. 2522 ด้วยเหตุผลที่ว่าการจดสิทธิบัตรทั้ง 3 ฉบับนั้น ไม่ใช่การประดิษฐ์ขึ้นใหม่ หรือ ไม่ใช่การประดิษฐ์ที่มีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้น หรือเป็นการประดิษฐ์ที่สามารถประยุกต์ในทางอุตสาหกรรม
ซึ่งการที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ปฏิเสธคำขอทั้ง 3 บริษัทนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มบริษัทอื่นทั้งสิ้น ไม่มีการปฏิเสธคำขอทั้ง 7 ฉบับของ“โอซูกะ ฟาร์มาซูติคอล คอมปะนี ลิมิเต็ด ร่วมกับ จีดับเบิลยู ฟาร์มา ลิมิเต็ด” แม้แต่ฉบับเดียว จริงหรือไม่?
3. ประกาศโฆษณาคำขอสิทธิบัตรฉบับที่ประเทศอังกฤษปฏิเสธคำขอไปแล้ว
กรณีที่ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ปฏิเสธคำขอบริษัทอื่นๆ ที่ไม่ใช่ “โอซูกะ ฟาร์มาซูติคอล คอมปะนี ลิมิเต็ด ร่วมกับ จีดับเบิลยู ฟาร์มา ลิมิเต็ด” ด้วยเหตุผลที่ว่าคำขอเหล่านั้นไม่มีขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น จึงขาดคุณมบัติพื้นฐานที่จะได้รับการคุ้มครอง แต่เหตุผลนี้กลับถูกละเลยและเลือกปฏิบัติหรือไม่? เพราะไม่ได้นำมาใช้กับ“โอซูกะ ฟาร์มาซูติคอล คอมปะนี ลิมิเต็ด ร่วมกับ จีดับเบิลยู ฟาร์มา ลิมิเต็ด” จริงหรือไม่?
ตัวอย่างปรากฏในรายงานจากมูลนิธิชีววิถี (BioThai) พบว่า มีคำขอสิทธิบัตรกัญชาฉบับหนึ่งของ “โอซูกะ ฟาร์มาซูติคอล คอมปะนี ลิมิเต็ด ร่วมกับ จีดับเบิลยู ฟาร์มา ลิมิเต็ด” หมายเลขคำขอ 0801006631 ซึ่งได้ยื่นคำขอสิทธิบัตรในประเทศไทย ในการใช้สารแคนนาบินอยด์ร่วมกับยาต้านโรคจิต แต่ปรากฏว่าก่อนหน้านี้คำขอเดียวกันนี้ ผู้ตรวจสอบของสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญา ประเทศอังกฤษ ได้แจ้งต่อ จีดับเบิลยู ฟาร์มา ลิมิเต็ด เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ว่าคำขอดังกล่าวนั้นไม่ได้มีขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น จึงได้ถูกสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญา ประเทศอังกฤษ ปฏิเสธคำขอตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553
แต่คำขอสิทธิบัตรการใช้สารแคนนาบินอยด์ร่วมกับยาต้านโรคจิตของ “โอซูกะ ฟาร์มาซูติคอล คอมปะนี ลิมิเต็ด ร่วมกับ จีดับเบิลยู ฟาร์มา ลิมิเต็ด”ซึ่งได้ยื่นคำขอจดสิทธิบัตรกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2551 แทนที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทยจะได้ปฏิเสธคำขอตามประเทศอังกฤษตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2553 แต่กรมทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทยกลับยกสถานะประกาศโฆษณาคำขอสิทธิบัตรดังกล่าวนี้ เมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2559 ในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช่หรือไม่? คำถามที่ตามมาก็คือ การกระทำเช่นนี้เป็นการเลือกปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับ “โอซูกะ ฟาร์มาซูติคอล คอมปะนี ลิมิเต็ด ร่วมกับ จีดับเบิลยู ฟาร์มา ลิมิเต็ด” หรือไม่?
4. โกหกกรณีสิทธิบัตรกัญชา เพราะไม่ได้มีการยกเลิกคำขอตามการแถลงข่าวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์?
วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แถลงข่าวว่า ได้ยกเลิกสิทธิบัตรคำขอหมายเลข 1001003758 ของ “โอซูกะ ฟาร์มาซูติคอล คอมปะนี ลิมิเต็ด ร่วมกับ จีดับเบิลยู ฟาร์มา ลิมิเต็ด”
ซึ่งมีการประกาศโฆษณาคำขอเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2559โดยการใช้สารสกัดกัญชาที่ว่า ใช้สารไฟโตแคนนาบินอยด์หรือสารผสมของสารดังกล่าวในการรักษาโรคลมบ้าหมู โดยให้เหตุผลในเวลานั้นว่า “กระทรวงพาณิชย์ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า สารสกัดกัญชาเป็นสารสกัดจากพืช และมาตรา 9 ของ พรบ.สิทธิบัตรกำหนดว่า จุลชีพ หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของพืชและสัตว์ไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้ จึงได้ขอให้ดำเนินการตามกฎหมาย โดยใช้มาตรา 30 ที่กำหนดให้อธิบดีมีอำนาจยกเลิกคำขอดังกล่าวได้”
ผลปรากฏว่าเวลาผ่านไป 2 เดือนแล้ว สิทธิบัตรดังกล่าวก็ยังไม่ได้ยกเลิกแต่ประการใด คำแถลงข่าวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์นั้น “เป็นเท็จ”เพราะเหตุผลใด? ใครโกหกรัฐมนตรี รัฐมนตรีโกหกเอง หรือ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาขัดขืนคำสั่งหรือเปลี่ยนใจภายหลัง? หรือเป็นเพราะสิทธิบัตรของ “โอซูกะ ฟาร์มาซูติคอล คอมปะนี ลิมิเต็ด ร่วมกับ จีดับเบิลยู ฟาร์มา ลิมิเต็ด” เป็นสิทธิบัตรของกลุ่มบริษัทเดียวที่ไม่สามารถแตะต้อง หรือปฏิเสธคำขอได้ ใช่หรือไม่?
5. แอบอ้างข้อมูลอันเป็นเท็จว่าไม่มีประเทศใดในโลกปฏิเสธคำขอจดสิทธิบัตรกัญชาโดยอ้างเรื่องเหตุผลว่าเป็นยาเสพติดให้โทษ
จากการที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้รับนโยบายจาก นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งได้เป็นประธานในที่ประชุมระหว่างข้าราชการกรมทรัพย์สินทางปัญญา กับ มูลนิธิชีววิถี (ไบโอไทย), มหาวิทยาลัยรังสิต เอฟทีเอ วอทช์, และผู้แทนสภาการแพทย์แผนไทยเมื่อวันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2562 ว่าให้มีการพูดคุยกันต่อระหว่างภาครัฐกับภาคประชาสังคมกัญชา เพื่อหาทางออกในเรื่องนี้
จึงเป็นเหตุให้มีการนัดหมายในครั้งต่อไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562 โดยให้พิจารณาประเด็นที่ภาคประชาชนเห็นว่าเห็นควรยกเลิกสิทธิบัตรที่เกี่ยวกับกัญชาทั้งหมด เพราะที่ผ่านมากัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษจึงไม่สมควรให้มีการจดสิทธิบัตรได้ตั้งแต่แรก โดยอาศัย พระราชบัญญัติ สิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มาตรา 9(5) เพราะถือเป็นการประดิษฐ์ที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดี อนามัยหรือสวัสดิภาพของประชาชน และอาศัยมาตรา 9 (4) เพราะว่าสิทธิบัตรสารสกัดกัญชาเหล่านี้ เป็นวิธีการวินิจฉัย บำบัด หรือรักษาโรคมนุษย์หรือสัตว์ ซึ่งย่อมไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายสิทธิบัตรของไทยเช่นกัน
ปรากฏว่าพอถึงวันประชุมครั้งที่ 2 คือวันที่ 17 มกราคม 2562 อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจและความรับผิดชอบตามกฎหมาย ไม่เข้าห้องประชุม แม้แต่รองอธิบดีผู้ออกจดหมายเชิญภาคประชาชนก็ไม่เข้าประชุมเช่นกัน คงเหลือแต่ฝ่ายกฎหมายที่เข้ามาเพื่อโต้แย้งโดยให้ข้อมูลอันเป็นเท็จว่าไม่มีประเทศใดในโลกจะใช้ข้ออ้างว่ากัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษในการยกเลิกสิทธิบัตรได้ โดยได้ยกตัวอย่างประเทศที่รับจดสิทธิบัตรกัญชาได้ (ทั้งๆที่กฎหมายของแต่ละประเทศมีเงื่อนไขการผ่อนปรนและรายละเอียดไม่เหมือนกัน)
ภาคประชาชนโดยมูลนิธิชีววิถี (BioThai) ได้โต้แย้งโดยแสดงหลักฐานในที่ประชุมพบว่าคำกล่าวอ้างของฝ่ายกฎหมายของกรมทรัพย์สินทางปัญญานั้นเป็นเท็จ โดยได้ยกตัวอย่างว่าประเทศบราซิลก็ได้ยกเลิกสิทธิบัตรกัญชาได้โดยอ้างเหตุว่าเพราะกัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษได้ ดังน้ันแต่ละประเทศมีอธิปไตยและกฎหมายของตัวเอง คำกล่าวอ้างของฝ่ายกฎหมาย กรมทรัพย์สินทางปัญญานั้นจึงไม่ใช่มาตรฐานโลกแต่ประการใด
เมื่อถูกภาคประชาสังคมจับโกหกได้คาหนังคาเขา ทางฝ่ายกฎหมายของกรมทรัพย์สินทางปัญญากลับแก้ตัวว่าเพิ่งทราบข้อมูลนี้ เมื่อถามว่าเมื่อทราบแล้วจะดำเนินการอย่างไรต่อไป จะยกเลิกสิทธิบัตรกัญชาทั้งหมดโดยอาศัยมาตรา 9(5) หรือไม่ ฝ่ายกฎหมายของกรมทรัพย์สินกลับสรุปว่าจะดำเนินการตามแนวทางเดิมต่อไปแต่รับข้อมูลของภาคประชาสังคมสำหรับปรับปรุงแก้ไขกฎหมายในอนาคต ซึ่งไม่ใช่วัตถุประสงค์ของภาคประชาสังคมที่ต้องการให้ยกเลิกสิทธิบัตรกัญชาของชาวต่างชาติทั้งหมดตั้งแต่วันนี้
ซึ่งจนถึงปัจจุบันนี้สิทธิบัตรกัญชาก็ยังมีการประกาศโฆษณาคำขอของ“โอซูกะ ฟาร์มาซูติคอล คอมปะนี ลิมิเต็ด ร่วมกับ จีดับเบิลยู ฟาร์มา ลิมิเต็ด” ยังคงค้างอยู่ และน่าเคลือบแคลงสงสัยว่า คนที่เกี่ยวข้องเหล่านี้กำลังรอ พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ ฉบับใหม่ ที่จะคลายล็อกกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ประกาศบังคับใช้เมื่อไหร่ กรมทรัพย์สินทางปัญญาก็อาจจะอนุมัติหลังจากนั้นก็ได้ ใช่หรือไม่?
จาก 5 ประเด็นที่กล่าวมาข้างต้น แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากสิทธิบัตรกัญชาในเวลานี้มีเพียงกลุ่มเดียวก็คือ“โอซูกะ ฟาร์มาซูติคอล คอมปะนี ลิมิเต็ด ร่วมกับ จีดับเบิลยู ฟาร์มา ลิมิเต็ด”เท่านั้น และน่าเคลือบแคลงสงสัยว่าจะมีคนอยู่เหนืออธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาหรือไม่ และมีคนอยู่เบื้องหลังมีอำนาจเหนือกว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือไม่?
มี 3 เหตุการณ์ที่อาจแสดงถึงความเชื่อมโยงและความสัมพันธ์ในการเร่งรัดสิทธิบัตรให้กับชาวต่างชาติ (ซึ่งอาจหมายรวมถึง“โอซูกะ ฟาร์มาซูติคอล คอมปะนี ลิมิเต็ด ร่วมกับ จีดับเบิลยู ฟาร์มา ลิมิเต็ด”) ในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือไม่ ดังนี้
เหตุการณ์ที่ 1 วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2558 นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ โพสต์ในเฟสบุ๊คของตนเองระบุว่าจะเร่งรัดปัญหาสิทธิบัตรคงค้างทั้งสะสมให้หมดสิ้นไป
เหตุการณ์ที่ 2 ระหว่างวันที่ 29 พฤษภาคม ถึง 1 มิถุนายน พ.ศ. 2559 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่น พบผู้บริหารระดับสุงของบริษัท “โอซูกะ ฟาร์มาซูติคอล คอมปะนี ลิมิเต็ด” เป็นการเฉพาะด้วย โดยภายหลังจากการพบปะครั้งนั้น กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ประกาศโฆษณาคำขอสิทธิบัตรที่เกี่ยวกับกัญชาให้กับ “โอซูกะ ฟาร์มาซูติคอล คอมปะนี ลิมิเต็ด ร่วมกับ จีดับเบิลยู ฟาร์มา ลิมิเต็ด” ในปลายเดือนนั้น และเป็นวันเดียวกันด้วย คือวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2559 ถึง 2 ฉบับ และหลังจากนั้นอีก 3 เดือนคือเดือนกันยายน พ.ศ. 2559 กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ประกาศโฆษณาคำขอให้กลุ่มบริษัทเดียวกันนั้นเพิ่มขึ้นอีก 1 ฉบับ ถือเป็นการประกาศโฆษณาคำขอที่เกี่ยวข้องกับกัญชาภายใน 1 ปี ให้กับกลุ่มบริษัทเดียวมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย
เหตุการณ์ที่ 3 วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยผลการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สรุปว่า ที่ประชุมเห็นชอบออกคำสั่งมาตราที่ 44 ตามที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา เสนอทางแก้ปัญหาทางออกสิทธิบัตรซึ่งคงค้างกว่า 20,000 คำขอ และมีการจดสิทธิบัตรยามากกว่า 3,000 รายการ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมต้องรวมสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับกัญชาไปด้วยใช่หรือไม่?
แม้เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นเพราะภาคประชาชนรู้เท่าทันและทำหนังสือคัดค้านได้ทันเวลาเสียก่อน แต่ก็มีคำถามว่าใครเป็นผู้เสนอวาระดังกล่าวให้ที่ประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ให้ใช้มาตรา 44 เพื่อปลดปล่อยสิทธิบัตรคงค้าง จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครมาให้คำตอบได้
ทั้งนี้ได้ปรากฏในเว็บไซต์ของสำนักนายกรัฐมนตรี แจ้งผลมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 รับทราบผลการเยือนประเทศญี่ปุ่นของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและคณะระหว่างวันที่ 29 พฤษภาคม 2559 - 2 มิถุนายน พ.ศ. 2559 ณ กรุงโตเกียว โดยมีข้อความที่เกี่ยวกับสิทธิบัตรความตอนหนึ่งว่า
“ผลการเยือนดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมระหว่างไทยกับญี่ปุ่น จึงมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว ได้แก่ การจดสิทธิบัตร”
แต่การนำวาระเข้าเสนอต่อคณะรัฐมนตรีนั้นเร่งด่วนเพียงใดนั้น ก็ขอให้พิจารณาจากหนังสือของนางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งได้มีหนังสือถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เรื่องผลการเยือนประเทศญี่ปุ่นของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2559 เลขที่หนังสือ นร 1310/000144 ความตอนหนึ่งว่า
“ผลการเยือนฯครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับการปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมระหว่างไทยกับญี่ปุ่น จึงจำเป็นต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณามอบหมายกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการต่างๆ ให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว ดังนั้นสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนขอให้นำเรื่องดังกล่าวมากราบเรียนนายกรัฐมนตรีเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบในโอกาสแรก”
ในเอกสารราชการข้างต้นยังได้รายงานเอาไว้ในหน้าที่ 5 ในหัวข้อการพบหารือกับบริษัทชั้นนำรายใหญ่ของญี่ปุ่น โดยได้ระบุถึงสิ่งที่ประเทศไทยจะได้จาก บริษัท โอซูกะ ฟาร์มาซูติคอล (Otsuka Phamaceutical Co., Ltd.) ด้วยข้อความว่า:
“บริษัท Otsuka Phamaceutical Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทผู้วิจัยพัฒนาและผลิตยาและอาหารเพื่อสุขภาพรายใหญ่ จะขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย และให้ความสนใจนโยบาย Food Innopolis และนโยบายการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (East Economic Corridor-EEC) ของรัฐบาลไทย และมีความสนใจที่จะให้ไทยเป็นฐานในการผลิตอาหารเฉพาะสำหรับผู้ป่วย”
ทั้งนี้ก่อนหน้าการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 ประมาณ 1 วัน ได้ปรากฏหลักฐานอีกชิ้นหนึ่ง เป็นหนังสือจากนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ถึง เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อเป็นความเห็นประกอบเรื่องเพื่อให้คณะรัฐมนตรีทราบเรื่องการเยือนประเทศญี่ปุ่นของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) โดยเป็นหนังสือของกระทรวงพาณิชย์ ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2559 เป็นหนังสือเลขที่ พณ 0604/3076 ความตอนหนึ่งว่า
“กระทรวงพาณิชย์พิจารณาแล้ว ไม่ขัดข้องต่อผลการเยือนประเทศญี่ปุ่นของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ดังกล่าว เนื่องจากจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับรัฐบาลและภาคเอกชนต่อนโยบายเศรษฐกิจและนโยบายส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาลไทย ทั้งนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับการจดทะเบียนสิทธิบัตรในไทยนั้น กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญาอยู่ระหว่างการพัฒนา/ปรับปรุงระบบการจดสิทธิบัตรให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น...”
ความน่าสนใจของหนังสือฉบับดังกล่าวนี้ยังได้ระบุการดำเนินการในข้อ 2 ด้วยว่า
“ลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน เพื่อลดระยะเวลาการพิจารณาคำขอและลดภาระของผู้ตรวจสอบ เช่น งานสืบค้นสิทธิบัตรเบื้องต้น และงานนำเข้าข้อมูลลงระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Digitalize) เป็นต้น”
ท่านผู้อ่านลองพิจารณาดูว่าการเร่งรัดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ลดงานของผู้ตรวจสอบในการสืบค้นสิทธิบัตรเบื้องต้นนั้น ทำให้เกิดคำถามว่าการลดขั้นตอนดังกล่าวจะทำให้การตรวจสอบสิทธิบัตรหละหลวมหรือด้อยประสิทธิภาพลงหรือไม่ ยังรวมถึงการลดงานนำเข้าข้อมูลระบบอิเล็กทรอนิกส์นั้น ประเด็นหลังนี้จะเป็นเหตุผลที่ประชาชนทั่วไปยากที่จะเข้าถึงข้อมูลสถานภาพและข้อเท็จจริงของสิทธิบัตรกัญชาอยู่ในขณะนี้ หรือไม่?
และเพราะการลดขั้นตอนตามที่กล่าวมาข้างต้นยังไม่เร่งรัดปล่อยสิทธิบัตรต่างชาติได้ทันใจคนบางคนใช่หรือไม่ จึงเกิดความคิดแผลงๆของ “ไอ้โม่ง” ที่ได้เสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้มีมติ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 จนเกือบได้ใช้คำสั่ง คสช. โดยอาศัย มาตรา 44 เพื่อเร่งปล่อยสิทธิบัตรคงค้างทั้งหมด ซึ่งรวมถึงสิทธิบัตรที่เกี่ยวกับกัญชาด้วย ใช่หรือไม่?
ซึ่งในความจริงแล้ว การเร่งรัดสิทธิบัตรไม่ใช่เรื่องผิด แต่การเอื้อประโยชน์สิทธิบัตรกัญชาต่างชาติอย่างผิดกฎหมายและเลือกปฏิบัติต่างหากที่ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้เมื่อวันเลือกตั้งถูกกำหนดเป็นวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 แล้ว ถ้ากรมทรัพย์สินทางปัญญา หรือผู้ที่อยู่เบื้องหลังยังไม่ปฏิเสธคำขอสิทธิบัตรกัญชาของกลุ่มบริษัทเดียวกันนี้ เชื่อได้ว่าประชาชนจำนวนมากตามผลของซุปเปอร์โพลก็จะได้ตัดสินใจใช้ปากกาตัวเองเพื่อกำหนดอนาคตของพรรคพลังประชารัฐในวันเลือกตั้งเอง
ด้วยความปรารถนาดี ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต