Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive
 

ดร. อาทิตย์ อุไรรัตน์ จากข่าวล่าสุดพบว่าคณะกรรมาธิการวิสามัญของสภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งได้แก้ไข พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่...) พ.ศ....ในชั้นแปรญัตติเสร็จสิ้นแล้ว โดยจะบรรจุเข้าพิจารณาในวาระที่ ๓ ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๑ เป็นกฎหมายส่งท้ายปลายปี

 

ตามที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ผ่านความเห็นชอบร่างแก้ไขประมวลกฎหมายยาเสพติดซึ่งเสนอโดยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และในเวลาต่อมาสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติจำนวน ๔๔ คน ได้ร่วมกันเข้าชื่อเพื่อเสนอร่างแก้ไข พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่...) พ.ศ..... เพื่อเปิดโอกาสให้นำกัญชาและกระท่อมสามารถนำมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์

ซึ่งกฎหมายทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าวสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ให้ความเห็นชอบรับหลักการในวาระที่ ๑ แล้ว และทราบว่าขณะนี้อยู่ในระหว่างการแปรญัตติในชั้นคณะกรรมาธิการพิจารณากฎหมายทั้ง ๒ ฉบับ ซึ่งใกล้เสร็จสิ้นหรืออาจจะเสร็จสิ้นไปแล้ว และกำลังดำเนินการเพื่อเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบในวาระที่ ๓ เพื่อบังคับใช้กฎหมายก่อนการเลือกตั้งต่อไป

                                                                                 

 

ในขณะที่มีกระแสข่าวว่าร่างแก้ไขประมวลกฎหมายยาเสพติด จะเสร็จสิ้นในวาระที่ ๒ พร้อมที่จะเข้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติในเดือนมกราคม ๒๕๖๒

การที่ผู้ป่วยไม่สามารถเพาะปลูกและนำกัญชามาใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ของตัวเองได้ เช่นเดียวกับที่แพทย์แผนไทยหรือแพทย์แผนไทยประยุกต์ไม่สามารถเพาะปลูกเพื่อปรุงยาตามภูมิปัญญาเดิมได้ ทำให้ข้ออ้างของกรรมาธิการบางคนที่ระบุว่า ต้องให้รัฐผูกขาดเพื่อป้องกันบริษัทยาต่างชาติที่มีสิทธิบัตรแต่ไม่สามารถยกเลิกสิทธิบัตรได้ก็ดี หรือเพื่อป้องกันกลุ่มทุนขนาดใหญ่เอาไว้ก็ดีนั้น นอกจากจะเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาที่ไม่ตรงประเด็นแล้ว ยังเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นและไม่มีน้ำหนักอีกต่อไปอีกด้วย

ในขณะที่แพทย์แผนไทยหรือแพทย์แผนไทยประยุกต์ ซึ่งมีวิธีการปรุงยาโดยใช้หลายส่วนจากต้นกัญชา มีช่วงเวลาเพาะปลูก มีช่วงเวลาเก็บเกี่ยว ตลอดจนมีการกำหนดพิกัดยาของผู้ป่วยในแต่ละฤดูกาลไม่เหมือนกัน

ในความเป็นจริงแล้ว คงไม่มีเอกชนไทยรายใดวิจัยใช้งบประมาณของตัวเองอย่างมหาศาลเพื่อวิจัยเรื่องกัญชา มันแห้งเหี่ยวตายไปเองภายใน ๕ ปีโดยไม่มีหลักประกันว่าจะมีรายได้จากการผลิตเพื่อจำหน่ายทางการแพทย์กลับคืนมาเมื่อใด หมายลักษณะเช่นนี้จึงเป็นการขัดขวางกีดกันงานวิจัยของเอกชนในประเทศไทยไม่ให้มีความก้าวหน้าได้ในทางปฏิบัติ มีแต่บริษัทต่างชาติที่มีงานวิจัยและสิทธิบัตรมาจดในประเทศไทยจะเป็นผู้ได้เปรียบในท้ายที่สุด

เครือข่ายประชาสังคมกัญชาเพื่อการแพทย์สำหรับประชาชน ได้จัดการประชุมและแถลงข่าวเมื่อวันพุธที่ ๑๙ ธันวาคม 2561 โดยมีมหาวิทยาลัย รังสิตภายใต้การนำของ ดร. อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดี สภาการแพทย์แผนไทยโดย พล.ร.อ. ชาญชัย เจริญสุวรรณ นายกสภาการแพทย์แผนไทย นางสาวรสนา โตสิตระกูล กรรมการมูลนิธิสุขภาพไทย และภาคประชาสังคมและนักวิชาการในมหาวิทยาลัยรังสิต มีความเห็นว่าร่างกฏหมายทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าวซึ่งกำลังพิจารณาอยู่ในขณะนี้มีปัญหา ๔ ประการสำคัญกล่าวโดยสรุปคือ

ประการแรก มีบริษัทยาต่างชาติได้ยื่นคำขอจดสิทธิบัตรสารสกัดกัญชาหรือการประดิษฐ์อื่นที่มีสารจากกัญชาเป็นส่วนประกอบเพื่อใช้ในทางการแพทย์ โดยที่กรมทรัพย์สินทางปัญญากระทรวงพาณิชย์ได้รับคำขอจดสิทธิบัตรพิจารณาเบื้องต้นและได้ประกาศโฆษณาคำขอหลายฉบับ “ดักหน้า” ก่อนที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั้ง ๒ ฉบับจะผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติและประกาศบังคับใช้

ดังตัวอย่างเช่น สิทธิบัตรหมายเลขที่คำขอ ๑๒๐๑๐๐๔๖๗๒ ของบริษัท โอซูกะ ฟาร์มาซูติคอล ร่วมกับบริษัทจีดับเบิลยู ฟาร์มา ลิมิเต็ด นั้นได้ระบุการใช้ “ไฟโตแคนนาบีนอยด์” หรือสารสกัดจากกัญชาในการรักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ ซึ่งกรมทรัพย์สินทางปัญญากระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้ประกาศโฆษณาคำขอนี้เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๗ ซึ่งหากคำขอนี้ได้รับการอนุมัติ ภายหลังมีการปลดล็อกกฎหมายกัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์เมื่อใด ก็อาจจะมีความเสี่ยงในผลกระทบทำให้เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายค่าสิทธิบัตรให้กับประชาชนและผู้ป่วยมะเร็งในประเทศไทยอย่างกว้างขวาง

มีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติท่านหนึ่งแจ้งข่าวว่า ถ้ามีการประกาศใช้กฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่แล้ว คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)จึงจะออกกฏหมายเพื่อยกเลิกสิทธิบัตรที่ยื่นขอมาทั้งหมดในภายหลัง

ประเด็นดังกล่าวนี้น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง นอกจากจะเป็นเรื่องอนาคตที่ยังไว้วางใจไม่ได้แล้ว หากมีการใช้คำสั่งคสช. ในการยกเลิกสิทธิบัตรโดยไม่ใช้อำนาจอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาตาม พรบ. สิทธิบัตร ก็อาจจะเกิดความสุ่มเสี่ยงที่ทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายอย่างมหาศาลในเวทีอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศในอนาคตได้

ในความเป็นจริงแล้วการรับคำขอสิทธิบัตรที่เกี่ยวกับสารสกัดกัญชาของบริษัทยาต่างชาติก็ดี รวมไปถึงการประกาศโฆษณาคำขอสิทธิบัตรที่เกี่ยวกับสารสกัดกัญชาของบริษัทยาต่างชาติก็ดี เป็นสิ่งผิดกฏหมายทั้งสิ้น ต้องแก้ด้วยการยกเลิกทันทีตั้งแต่วันนี้ โดยไม่มีความจำเป็นเอาข้ออ้างเรื่องการแก้ไขกฎหมายยาเสพติดให้โทษเป็นตัวประกัน

ประการที่สอง ร่างแก้ไขประมวลกฎหมายยาเสพติด และร่างแก้ไข พรบ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ...) พ.ศ. ....ยังคงกำหนดให้กัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ ๕ ทั้งๆที่ผลงานวิจัยจำนวนมากในต่างประเทศพบว่า กัญชาเสพติดยากกว่ามากเมื่อเทียบกับเหล้าและบุหรี่ แต่เหล้าและบุหรี่กลับไม่เคยอยู่ในบัญชียาเสพติดให้โทษแต่ประการใด ในขณะที่เหล้าและบุหรี่มีไว้เพื่อสันทนาการเป็นหลัก ซึ่งแตกต่างจากกัญชาที่เป็นพืชสมุนไพรซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วโลกแล้วว่า มีประโยชน์ในทางการแพทย์อย่างมหาศาล

ดังนั้น การกำหนดให้กัญชายังคงเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ ๕ ต่อไป แทนที่จะเป็น “พืชสมุนไพรควบคุม” ย่อมทำให้เกิดอุปสรรคสำคัญในการนำมาใช้ในทางการแพทย์ และอาจนำไปสู่การใช้เป็นข้ออ้างเพื่อให้เกิดการผูกขาดตกอยู่แก่รัฐหรือเอกชนที่รัฐเป็นผู้ยินยอมให้ร่วมกับรัฐเท่านั้น อันจะนำไปสู่ความสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงเพื่อเอื้อประโยชน์กลุ่มทุนบางรายได้ต่อไปในอนาคต หรืออาจทำให้ประชาชนและผู้ป่วยเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าจากการจับกุม และการมีบทลงโทษในฐานะยาเสพติดให้โทษประเภทที่ ๕ ต่อไป

ประการที่สาม ร่างแก้ไขประมวลกฎหมายยาเสพติด และร่างแก้ไข พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... กำหนดเพิ่มเติมโดยนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขที่ว่า ในช่วงเวลา ๕ ปีนับแต่วันที่กฎหมายบังคับใช้ การเพาะปลูกหรือผลิตทั้งหมดจะต้องกระทำโดยรัฐซึ่งเป็นองค์กรทางการแพทย์หรือเภสัชกรรม หรือเอกชนที่รัฐอนุญาตให้ร่วมกับรัฐซึ่งเป็นองค์กรทางการแพทย์หรือเภสัชกรรมเท่านั้น ซึ่งจะต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการชุดใหญ่ชุดหนึ่งซึ่งมีหลายหน่วยราชการเข้ามาเป็นองค์ประกอบ

ซึ่งกฎหมายลักษณะเช่นนี้ ผู้ที่เข้าถึงอำนาจรัฐได้มากที่สุดเท่านั้นจึงจะมีโอกาสร่วมเพาะปลูกหรือร่วมผลิตกับภาครัฐได้ ซึ่งก็คงจะมีแต่กลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่สามารถเอื้อผลประโยชน์ส่วนตนให้กับบุคคลสำคัญในรัฐบาล หรือมีเส้นสายถึงบุคคลสำคัญในรัฐบาลเท่านั้นจึงสามารถที่จะดำเนินการได้

เมื่องานวิจัยในประเทศไทยไม่เคยมีการใช้ในมนุษย์มาก่อนเพราะถือว่ากัญชาเป็นยาเสพติด จึงย่อมโอกาสสูงมากที่จะเกิดการวิ่งเต้นโดยบริษัทยาต่างชาติที่เคยทดลองในมนุษย์มาแล้วขายพันธุ์พืช หรือขายยากัญชาสำเร็จรูปผ่านให้รัฐซึ่งผูกขาดตามกฏหมาย และจะขายให้ประชาชนในราคาแพงด้วยมูลค่าสิทธิบัตรที่ได้จดไว้ โดยปราศจากการแข่งขันทางด้านคุณภาพและราคา

ในขณะเดียวกันก็อาจจะเกิดกลุ่มทุนขนาดใหญ่ในประเทศไทยที่จะขอสัมปทานการเพาะปลูก หรือร่วมทุนกับรัฐในการสร้างโรงงานเพื่อดำเนินการผูกขาดการผลิตกัญชาทางการแพทย์ให้กับประชาชน โดยปราศจากการแข่งขันทางด้านคุณภาพและราคาเช่นเดียวกัน

ส่วนการ”ล่อ” ด้วยผลประโยชน์ด้วยการเขียนกฎหมาย ว่าให้มหาวิทยาลัยสามารถร่วมทุกกับภาครัฐได้ก็ดี หรือให้สหกรณ์การเกษตรสามารถร่วมกับภาครัฐในการเพาะปลูกได้ก็ดี เป็นเรื่องอนาคตที่ยังไม่แน่ชัดว่าจะสามารถปฏิบัติได้จริง เพราะหน่วยงานของรัฐเท่านั้นที่จะเป็นผู้ชี้ขาดที่จะเลือกใครและไม่เลือกใครในท้ายที่สุด

โดยเฉพาะกฎกระทรวงในอนาคตที่จะกำหนดมาตรฐานสูงสำหรับกลุ่มทุนใหญ่ จนไม่มีสหกรณ์การเกษตรกรรายใดสามารถดำเนินการได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดการวิ่งเต้นของกลุ่มใหญ่ที่หวังจะสัมปทานผ่านการผูกขาดของภาครัฐแล้ว ก็จะมีเพียงแต่กลุ่มทุนใหญ่เท่านั้นที่สามารถดำเนินการได้

ดังนั้น หากไม่แก้ไขกฎหมายเพื่อสร้างหลักประกันตั้งแต่วันนี้ ก็จะมีโอกาสสูงอย่างยิ่งที่มีผู้ร่วมสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ “ถูกหลอก” ผลประโยชน์ของกลุ่มทุนใหญ่ในท้ายที่สุด หรือไม่?

ดังที่เคยมีตัวอย่างเกิดขึ้นมาแล้วที่มีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติบางคน เสนอให้ตัดเรื่องบรรษัทพลังงานแห่งชาติออกไปจากร่างแก้ไข พ.ร.บ. ปิโตรเลียม ในการพิจารณาวาระที่ ๓ ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยระบุว่าให้ใช้ข้อสังเกตอย่างหนักแน่นเพื่อขอให้ศึกษาร่วมกับทุกภาคส่วนภายในระยะเวลา ๑ ปี แต่ปัจจุบันก็ไม่ได้มีความชัดเจนหรือความคืบหน้าแต่ประการใด แสดงให้เห็นว่าคำมั่นสัญญาใดๆ จากสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือรัฐบาลชุดนี้ยังไว้ใจไม่ได้โดยเด็ดขาด

ประการที่สี่ ร่างแก้ไขประมวลกฎหมายยาเสพติด และร่างแก้ไข พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... ทั้ง ๒ ฉบับนี้ ยังไม่อนุญาตให้ผู้ป่วยที่มีใบรับรองหรือใบสั่งยาจากแพทย์ หรือผู้ดูแลผู้ป่วยในครัวเรือนสามารถเพาะปลูกกัญชาในจำนวนจำกัดเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ของตัวเองได้

ดังนั้น การกำหนดให้แพทย์แผนไทยหรือแพทย์แผนไทยประยุกต์แต่ละบุคคล ซึ่งมีสภาการแพทย์แผนไทยเป็นผู้กำกับดูแลใบประกอบวิชาชีพนี้ ไม่สามารถเพาะปลูกเองได้ แต่ต้องนำกัญชามาจากการเพาะปลูกหรือการผลิตที่ผูกขาดโดยภาครัฐ หรือเอกชนร่วมกับรัฐ ในรูปสารสกัดสำคัญ หรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ย่อมไม่สอดคล้องกับวิถีการแพทย์แผนไทยที่จะเพาะปลูกแล้วปรุงยาตามภูมิปัญญาเดิมได้อย่างถูกต้อง จึงย่อมเท่ากับเป็นการกีดกันการแพทย์แผนไทยหรือแพทย์แผนไทยประยุกต์ในทางปฏิบัติในท้ายที่สุดหรือไม่

โดยเฉพาะประเด็นผู้ป่วยที่มีใบรับรองแพทย์ยังเพาะปลูกเพื่อดูแลตัวเองไม่ได้ เป็นการฝืนมนุษยธรรมขั้นพื้นฐาน แสดงให้เห็นว่ามีความคิดจะผูกขาดเพื่อให้ประชาชนพึ่งพาตัวเองได้

เช่นเดียวกับประเด็นแพทย์แผนไทย ซึ่งมีภูมิปัญญาของชาติเป็นหลักฐานมานับหลายร้อยปี ยังไม่สามารถเพาะปลูกเพื่อนำมาปรุงยาตามภูมิปัญญาของตัวเองได้ สะท้อนให้เห็นว่ามีเจตนากีดกันการแพทย์แผนไทย ซึ่งมีภูมิปัญญาประเภทเดียวในประเทศไทยที่มีประวัติศาสตร์การใช้กัญชาจริงในมนุษย์มาก่อน จึงย่อมมีความชอบธรรมที่จะใช้เพาะปลูก และปรุงตำรับยาไทยเดิมทันทีโดยที่ไม่ต้องวิจัยใหม่

ดังนั้นหากแพทย์แผนไทยซึ่งความชอบธรรมที่จะเพาะปลูกกัญชา ภายใต้สภาวิชาชีพที่มีใบประกอบวิชาชีพแพทย์ของตัวเอง หากปลูกกัญชาแล้วเป็นหลักประกันว่าไม่มีกลุ่มทุนรายใหญ่สามารถที่จะผูกขาดการเพาะปลูกได้

มีความชัดเจนว่ารัฐบาลไม่อนุญาตให้ผู้ป่วยที่มีใบรับรองทางการแพทย์ซึ่งมีความชอบธรรมในด้านสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานเพาะปลูกเพื่อรักษาตัวเอง และไม่ให้แพทย์แผนไทยได้เพราะปลูกทุ่งหญ้าตามภูมิปัญญาเดิม สะท้อนให้เห็นเจตนาเบื้องหลังของกฎหมายฉบับนี้ว่ากีดกันรายย่อยและเอื้อผลประโยชน์ของกลุ่มทุนใหญ่เป็นสำคัญใช่หรือไม่?

โดยเฉพาะมีผู้ไปให้ความหวังลมๆแล้งๆ หลอกลวงกลุ่มเกษตรกรช่วยกันสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ว่า หากให้องค์การเภสัชกรรมผูกขาดแต่เพียงผู้เดียวแล้ว กลุ่มเกษตรกรจะสามารถเพาะปลูกส่งให้องค์การเภสัชกรรมได้ ก็เป็นเพียงอุบายผลประโยชน์มาล่อเพื่อให้ประชาชนแตกแยกกัน เพราะในที่สุดแล้วองค์การเภสัชกรรมอาจจะนำเข้ายากัญชาสำเร็จรูปต่างประเทศ หรือกับเป็นเกษตรกรรายใหญ่เพื่อสัมปทานการเพาะปลูก หรือกับกลุ่มทุนพลังงานเพื่อสร้างโรงงานผลิตผูกขาดการจำหน่ายสารสกัดกัญชาแต่เพียงกลุ่มเดียวก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลหลังเลือกตั้งในขณะนั้นจะเลือกกลุ่มทุนใด

ในทางตรงกันข้ามหากแพทย์แผนไทยทั่วประเทศสามารถที่จะเพาะปลูกได้ร่วมกับเกษตรกรหรือสหกรณ์การเกษตร จึงจะเป็นหลักประกันว่าไม่มีใครผูกขาดกับองค์การภาครัฐ และเกษตรกรสามารถขึ้นทะเบียนเพาะปลูกให้แพทย์แผนไทยได้ทั่วประเทศอย่างแน่นอน

ดังนั้นเมื่อผนวกกับการเตรียมตรากฎหมายให้กัญชาเป็นยาเสพติดประเภทที่ ๕ ที่มีบทลงโทษจำคุก เพื่อใช้เป็นข้ออ้างให้รัฐผูกขาดต่อไปเป็นเวลา ๕ ปี ด้วยขั้นตอนที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ควบคู่ไปกับการไม่ยกเลิกสิทธิบัตรเกี่ยวกับกัญชาของบริษัทยาต่างชาติที่ดักรอไว้ล่วงหน้านั้น ย่อมเป็นบทพิสูจน์กระบวนการที่ผ่านมาว่ามีวัตถุประสงค์แอบแฝงเพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นสำคัญเหนือผลประโยชน์ของผู้ป่วยและประชาชนชาวไทยเป็นสำคัญ ใช่หรือไม่?

เครือข่ายประชาสังคมกัญชาเพื่อการแพทย์สำหรับประชาชน จึงได้เรียกร้องต่อรัฐบาล และสภานิติบัญญัติแห่งชาติแสดงความจริงใจ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนดังต่อไปนี้

๑.ยกเลิกคำขอจดทะเบียนสิทธิบัตรการประดิษฐ์ในประเทศไทยที่เกี่ยวกับสารสกัดกัญชาและสารสกัดกัญชาทั้งหมด ซึ่งในขณะนี้ทั้งมหาวิทยาลัยรังสิตและสภาการแพทย์แผนไทยได้ยื่นหนังสือถึง อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์เพื่อขอให้ยกเลิกคำขอจดทะเบียนสิทธิบัตรการประดิษฐ์เกี่ยวกับสารสกัดกัญชาและสารสกัดกัญชาทั้งหมดภายใน ๑๕ วัน หากพ้นกำหนดระยะเวลา ๑๕ วันไปแล้ว ยังไม่เพิกถอนคำขอสิทธิบัตร ทางมหาวิทยาลัยรังสิตและสภาการแพทย์แผนไทยจะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไปโดยทันที

๒.ถอดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษทุกประเภท และให้กัญชาเป็นพืชสมุนไพรควบคุมทางการแพทย์ หาก ร่างแก้ไขประมวลกฎหมายยาเสพติด และร่าง พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่...) พ.ศ.... หากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ยังไม่สามารถทำได้ในการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ จะต้องลดโทษการใช้ประโยชน์กัญชาทางการแพทย์ของประชาชน ผู้ป่วย และผู้ดูแลผู้ป่วยให้ถือว่าไม่มีความผิดฐาน ผลิต ครอบครองหรือเสพยาเสพติด และให้เจ้าหน้าที่รัฐนำผู้ป่วยเข้าสู่การบริการทางการแพทย์ แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ที่ใช้กัญชาตามเจตนารมณ์ของผู้ป่วยต่อไป

๓.ให้ผู้ป่วยที่ได้ใบรับรองจากแพทย์ แพทย์แผนไทย และแพทย์แผนไทยประยุกต์สามารถเพาะปลูกกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ได้ตามจำนวนเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยเฉพาะราย

๔. ให้แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์สามารถขึ้นทะเบียนขอ เพาะปลูก ผลิต ปรุงยาที่เข้ากัญชา ตามภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยได้ทันที โดยอาศัย พรบ. คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๔๒ และต้องให้กรมแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข และสภาการแพทย์แผนไทย อยู่ในคณะกรรมการพิจารณาเกี่ยวข้องกับกัญชาด้วย

๕. ให้เกษตรกรสามารถเพาะปลูกตามคำสั่งซื้อหรือสัญญาการเพาะปลูก ของสถานประกอบการทางการแพทย์ แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ เภสัชกรรมทั้งรัฐและเอกชนที่ขึ้นทะเบียนเพื่อใช้ในทางการแพทย์อย่างถูกต้อง รวมถึงให้เกษตรกรสามารถเพาะปลูกเพื่อการส่งออกไปต่างประเทศได้

๖. ยกเลิกบทเฉพาะกาล ๕ ปี ที่ให้รัฐผูกขาดหรือบังคับให้เอกชนต้องร่วมกับรัฐในการเพาะปลูกหรือผลิตเพื่อการจำหน่ายกัญชาในทางการแพทย์ เพื่อทำให้เกิดการแข่งขันทั้งคุณภาพและราคา อันจะนำไปสู่การพัฒนาที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อผู้ป่วยและประชาชนในที่สุด

อย่างไรก็ตามในขณะนี้มีผู้ป่วยโรคมะเร็งจำนวนมากแอบใช้กัญชาใต้ดินเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ เพียงแต่ว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้จับกุมเพราะเห็นแก่มนุษยธรรมและชีวิตของผู้ป่วย ในขณะเดียวกันก็ยังไม่มีกลุ่มทุนใหญ่มาเป็นผู้มีส่วนได้ผลประโยชน์มีแรงจูงใจแจ้งเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อจับกุมผู้ที่แอบใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ตราบใดที่กัญชายังเป็นยาเสพติดให้โทษอยู่

แต่หากมีการแก้ไขกฎหมายโดยไม่เป็นไปตามข้อเรียกร้องของเครือข่ายประชาสังคมกัญชาเพื่อการแพทย์สำหรับประชาชนแล้ว กลุ่มทุนใหญ่ย่อมจะเป็นผู้ได้ผลประโยชน์จากกฎหมายดังกล่าวและมีแรงจูงใจที่จะดำเนินคดีความไล่ล่าประชาชนหรือผู้ป่วยที่แอบใช้กัญชาใต้ดินโดยทันที ดังเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตที่ผู้รับสัมปทานผลิตสุราซึ่งมีผลประโยชน์และเส้นสายเข้าถึงอำนาจรัฐ มีอิทธิพลส่งผลทำให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าจับกุม กวาดล้างสุราพื้นบ้านทั่วประเทศ ดังนั้นกฎหมายลักษณะเช่นนี้จึงน่าเป็นห่วงว่ามีโอกาสจะทำให้ประชาชนและผู้ป่วยเดือดร้อนในท้ายที่สุดเช่นกัน

ดังนั้นหากรัฐบาลและสภานิติบัญญัติแห่งชาติในสมัยนี้ไม่สามารถดำเนินการตามข้อเรียกร้องของเครือข่ายประชาสังคมกัญชาเพื่อการแพทย์สำหรับประชาชนได้ ก็ขอให้เห็นแก่พี่น้องประชาชนยุติร่างแก้ไขประมวลกฎหมายยาเสพติด และพรบ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่...) พ.ศ. เอาไว้ก่อน เพื่อมิให้ผู้ป่วยและประชาชนต้องเดือดร้อนต่อไปในอนาคต แล้วปล่อยให้ทุกพรรคการเมืองได้เสนอนโยบายกัญชาต่อประชาชนให้ตัดสินใจในวันเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงว่าจะมีพรรคการเมืองใดจะตอบสนองข้อเรียกร้องของเครือข่ายประชาสังคมกัญชาเพื่อการแพทย์สำหรับประชาชนหรือไม่อย่างไร

อย่างน้อยก็เป็นการหยุดยั้งกฎหมายที่อาจจะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนและผู้ป่วย !!!

แต่สำหรับ ดร. อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยรังสิต ประกาศชัดเจน ตรงไปตรงมากว่านั้นว่า หากไม่แก้ไขตามข้อเรียกร้องของเครือข่ายประชาสังคมกัญชาเพื่อการแพทย์สำหรับประชาชนข้างต้นแล้ว ก็ขอให้พี่น้องประชาชนร่วมกันคว่ำบาตร ไม่เลือกพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งครั้งนี้

แล้วเราจะได้เห็นกันว่าระหว่างผลประโยชน์ของกลุ่มทุนที่สนับสนุนทุนของพรรคการเมือง กับผลประโยชน์ของผู้ป่วยและชีวิตของประชาชนที่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง อะไรจะสำคัญกว่ากัน?

ด้วยความปรารถนาดี ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต