แม้งานวิจัยพบว่าสารสกัดจากกัญชามีอาจมีส่วนช่วยในผู้ป่วยโรคมะเร็งได้มากขึ้น โดยเฉพาะสาร THC หรือ CBD อย่างไรก็ตาม สารสกัดกัญชาหรือกัญชงหลายชนิดพบมากขึ้นว่าสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งในหลอดทดลอง หรือแม้แต่มีผลงานวิจัยพบว่าสารสกัดกัญชาและกัญชงหลายชนิดช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตหรือบำบัดมะเร็งต่างชนิดในสัตว์ทดลองแตกต่างกันไป
แต่ถึงกระนั้นสาร THC หรือ เรียกชื่อเต็มว่า เดลต้า-ไนน์ เตทตระไฮโดรแคนนาบินอยด์ นั้นเป็นสารที่ออกฤทธิ์ทางจิตประสาทมากและทำให้เมา กลายเป็นอุปสรรคและข้อจำกัดอันสำคัญในการทดลองในมนุษย์เพื่อหวังผลไปถึงการฆ่าเซลล์มะเร็งที่ได้ผลในหลอดทดลอง หรือหวังผลในการบำบัดโรคมะเร็งในมนุษย์
ดังนั้น จนถึงปัจจุบันนี้ผลการทดลองทางคลีนิก หรือการทดลองในมนุษย์จึงไม่มีรายงานชิ้นใดสักชิ้นเดียวในโลกนี้ที่ระบุว่าการใช้สารสกัดกัญชาที่มี THC สูงมากๆ นั้นจะทำให้รักษาโรคมะเร็งได้ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา คงเหลือไว้แต่เพียงว่าช่วยลดผลข้างเคียงจากการรักษาโรคมะเร็งในการใช้คีโมบำบัดหรือฉายแสงเท่านั้น
ส่วนคนที่ว่าดีขึ้นในปัจจุบันรวมถึงในประเทศไทย แม้จะมีการเปิดเผยข้อมูลผ่านสังคมอออนไลน์มากขึ้น จนถึงขั้นโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อหวังผลในการโปรโมทให้กัญชามาใช้ในทางการแพทย์หรือเพื่อการพาณิชย์ก็ตาม แต่ก็ยังต้องมีการสำรวจรายละเอียดแสวงหาข้อเท็จจริงให้มากขึ้นว่า ผู้ป่วยมะเร็งที่มีอาการดีขึ้นเพราะใช้สารสกัดกัญชาเป็นการรักษาเสริมร่วมกับการรักษาอย่างอื่นๆด้วยหรือไม่ เช่น ร่วมกับการักษาแผนปัจจุบัน การใช้ในรูปของตำรับยาสมุนไพร การควบคุมอาหาร การใช้ธรรมชาติบำบัด การล้างพิษ การแพทย์ทางเลือกอื่นๆ ฯลฯ
โดยเฉพาะปริมาณยาหรือปริมาณสารสำคัญนั้น ตกลงแล้วจะต้องใช้มากหรือน้อย หรือใช้ในลักษณะอย่างไรจึงจะได้ผลมากที่สุดกันแน่ น่าจะเป็นคำถามที่ผู้ป่วยโรคมะเร็งให้ความสนใจมากที่สุดในเวลานี้
เพราะในปัจจุบันบางคนที่แอบใช้ในเวลานี้หรือแม้แต่คนในครอบครัว พอทราบเบาะแสว่ากัญชามีผลในการฆ่าเซลล์มะเร็งในหลอดทดลอง ก็มีความเชื่อว่าต้องใช้ปริมาณให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
บางคนใช้นำ้มันกัญชาหยอดใต้ลิ้นเพื่อให้ดูดซึมให้มากที่สุด บางคนใช้น้ำมันกัญชาผสมน้ำมันมะพร้าวแช่เย็นในหลอดกาแฟเพื่อใช้เป็นยาเหน็บทวาร หรือบางคนใช้น้ำมันกัญชาผสมนำ้มันมะพร้าวสวนทวารเข้าไปมากๆ เพราะเชื่อว่าวิธีนี้จะช่วยทำให้สามารถใช้ในปริมาณที่มากโดยลดอาการเมาได้ และบางคนก็ใช้ในลักษณะการกลืนกินผ่านเมล็ดแคปซูลตามความเชื่อและประสบการณ์ในการรับรู้ที่แตกต่างกัน
ในทางตรงกันข้าม ก็มีรายงานข่าวอีกด้านหนึ่ง พบว่ามีผู้ป่วยโรคมะเร็งบางคนกลับมีอาการดีขึ้น หรือบางคนระบุผลการตรวจว่าตัวเองหายจากโรคมะเร็งด้วยการใช้กัญชาเพียง “น้อยนิด” โดยบางคนใช้เพียงไม้จิ้มฟันจุ่มในน้ำมันกัญชาแล้วดูด 2 ครั้งต่อวัน หรือบางคนใช้ดอกกัญชา 2-3 ดอกมาต้มน้ำดื่มเป็นชาควบคู่กับการปรับอาหารแล้วหายก็มีรายงานอยู่บ้างเป็นบางกรณี
รวมถึงมีผู้ป่วยโรคมะเร็งจำนวนมากที่แอบใช้สารสกัดกัญชาในปริมาณที่มาก โดยหวังว่าจะเป็นยาเดี่ยวและยาหลักที่รักษาโรคมะเร็งได้โดยไม่ต้องรักษาเสริมกับวิธีอื่น “เสียชีวิตไปแล้วจำนวนมาก” เช่นกัน เพียงแต่ว่าอาจจะเจ็บปวดทุกข์ทรมานน้อยกว่าเพราะเมาและหลับเป็นส่วนใหญ่ แต่ข้อมูลเหล่านี้ก็ไม่ค่อยมีรายงานให้เห็นเท่าไหร่นัก
แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนี้ ก็ควรจะมีการรวบรวม ตรวจสอบและสำรวจอย่างเป็นทางการมากขึ้น เมื่อ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฉบับใหม่ประกาศบังคับใช้ และถ้าจะให้ปลอดภัยกว่านั้นก็จะต้องมีคำวินิจฉัยการอุทธรณ์การเพิกถอนสิทธิบัตรสารสกัดกัญชาจากต่างประเทศไปให้เสร็จสิ้นก่อน พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษประกาศบังคับใช้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่การคัดเลือกสายพันธุ์ของกัญชา หรือแม้แต่วิธีการสกัดของกัญชาในยุคปัจจุบันนั้น หลายคนกลับไปให้ความสนใจในเรื่องสาร THC หรือ CBD เป็นหลัก ว่าจะทำอย่างไรที่จะปลูกได้สาร THC หรือ CBD ออกมาได้มากๆ หรือสกัดออกมาได้เข้มข้นที่สุด เพราะหวังแต่เพียงว่าการออกฤทธิ์ทางยาได้มากที่สุดก็จะสามาถนำมาใช้ประโยชน์ในทางพาณิชย์มากที่สุด ถึงขนาดบางคนเชื่อว่าพันธุ์ดีที่สุดนั้นเป็นสาร THC หรือ CBD เท่านั้นหรือเท่านี้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคำว่าดีหรือไม่ดีนั้นก็ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งานต่างหากว่าจะใช้มันอย่างไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สารกลุ่มแคนนาบินอยด์ในกัญชาและกัญชงมีอยู่รวมกันมากถึง 113 ชนิด แต่นักวิจัยในยุคปัจจุบันทั่วโลกเพิ่งจะมีความรู้และให้ความสำคัญเพียง 2 ตัวคือ THC และ CBD เท่านั้น นั่นหมายความว่าการที่เราจะมีความรู้เพียงแค่ในเรื่อง THC หรือ CBD ว่ามีเท่านั้นเท่านี้คือยาที่ดีที่สุด หรือแม้แต่ด่วนสรุปไปว่าพันธุ์ที่มี THC หรือ CBD เท่านั้นหรือเท่านี้ว่าคือพันธุ์ที่ดีที่สุดในโลก ก็อาจจะยังไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องเสมอไป
ในขณะที่ทีมนักวิจัยวิทยาลัยเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต นอกจะทำการทดลองในสัตว์ทดลองเพื่อหาปริมาณยาที่เหมาะสมก่อนที่จะทดลองต่อไปในมนุษย์แล้ว ยังได้ทำการทดลองสารสกัดกัญชานอกเหนือจาก THC หรือ CBD อย่างเดียวอีกด้วย ซึ่งจะต้องติดตามต่อไป
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสาร CBD ออกฤทธิ์ไม่ได้ออกฤทธิ์จิตประสาทหรือทำให้เมา จึงทำให้สาร CBD คาดว่าอาจได้รับการปลดล็อกก่อนทุกประเทศทั่วโลกเร็วๆนี้ ภายใต้คำประกาศขององค์การอนามัยโลกในเดือนมีนาคม 2562 ซึ่ง CBD นี้จะใช้ได้ง่ายกว่า THC และสามารถใช้ปริมาณที่มากกว่าโดยไม่ออกฤทธิ์ทางจิตประสาทหรือทำให้เมา ในทางตรงกันข้ามอาจใช้สาร CBD ช่วยลดผลทางจิตประสาทของสาร THC ด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม สาร CBD และ THC เป็นสารแคนนาบิดนอยด์ที่มาคู่กันในสารสกัดกัญชาในทางการแพทย์ ทั้งสองสารนี้กลับอยู่ด้วยกันแล้วทำงานดีกว่า เพราะ CBD นั้นยังช่วยเสริมฤทธิ์ทำให้ THC ลดการอักเสบและลดอาการปวดได้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดผลข้างเคียงของ THC ด้วย
ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านลองพิจารณาดูว่าในเมื่อสารกลุ่มแคนนาบินอยด์มีถึง 113 ตัว แต่เรารู้ 2 ตัวว่าสาร THC ต้องทำงานคู่กับสาร CBD ด้วย แล้วสารสำคัญที่เหลืออีก 111 ตัว จะทำงานคู่กับสาร THC กับ CBD หรือไม่ หรือจะทำงานร่วมกันระหว่างกันเองทั้ง 113 ตัวอีกเท่าไหร่ ที่นักวิจัยยังไม่ทราบได้
อย่างไรก็ตาม ในทุกวันนี้ไม่มีสูตรตายตัวว่าสัดส่วนระหว่างสาร THC และ CBD เท่าไหร่จึงจะเหมาะสมในแต่ละคน แต่นักวิจัยเร่ิมพบเบาะแสมากขึ้นว่าสาร CBD ประมาณ 2.5 มิลลิกรัม ผสมกับสาร THC เพียงเล็กน้อยจะให้ผลการรักษาดีและมีผลข้างเคียงน้อย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นวิธีการเริ่มต้นให้ใช้ในปริมาณที่น้อยย่อมปลอดภัยที่สุด โดยใช้สาร CBD ในปริมาณในสัดส่วนที่มากและผสม THC น้อยในช่วงวันแรกๆ แล้วค่อยๆปรับเพิ่มปริมาณไต่ระดับขึ้นที่ละนิด การใช้ปริมาณที่น้อยต่อวันเช่นนี้ย่อมจะหาจุดที่พอเหมาะของแต่ละคนได้ดีกว่าให้ในปริมาณมากๆตั้งแต่แรก เพื่อหวังการรักษาด้วยความเร่งรีบใจร้อน
อย่างไรก็ตาม สาร THC ในปริมาณน้อยๆก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเสมอไปของแต่ละคน การหาส่วนผสมที่สมดุลของ CBD และ THC ของแต่ละคนย่อมดีกว่าการใช้ THC หรือ CBD เพียงอย่างเดียว หรือยึดเอาสัดส่วนใดสัดส่วนหนึ่งเป็นเกณฑ์ หรือใช้มั่วเดาสุ่มโดยไม่รู้อะไรทั้งสิ้น แต่การหาจุดพอเหมาะของแต่ละคนหมายความว่าอาจจะต้องมีสารสกัด THC และ CBD ที่ในปริมาณมากเป็นคนละตัวยากันแยกออกจากกัน แต่พร้อมนำมาผสมเพื่อปรับมาใช้ให้เหมาะในแต่ละคน ซึ่งในวันนี้เป็นที่น่ายินดีว่า ทีมนักวิจัยวิทยาลัยเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิตสามารถสกัดแยกทั้ง THC 100% และ CBD 100% ออกจากกันได้สำเร็จแล้ว
คำถามคือ เหมาะสมของแต่ละคนคือจุดไหน? คำตอบของผู้เชี่ยวชาญทางคลีนิกที่ใช้จริงในต่างประเทศจำนวนหนึ่ง คือจะใช้เทคนิกนำสาร CBD ในสัดส่วนที่สูง (เพื่อความปลอดภัย) และเพิ่มสาร THC ค่อยๆให้มากขึ้นไปเรื่อยๆจนเกิดความรู้สึกสบายตัว โดยการปรับนี้จะไปถึงจุดสังเกตในการทดลองในต่างประเทศที่น่าจะเหมาะสมคือถึงจุดที่มีเหงื่อแตกเม็ดพอดีในสัดส่วนของ CBD และ THC นั้น (แต่ความจริงในยุคนี้ก็สามารถถอดรหัสพันธุกรรมเพื่อดูความสามารถในการทำงานของต่อมรับ CB1 และ CB2 ได้แล้ว เช่นกัน)
หลักฐานประการสำคัญที่ทำให้เชื่อว่าการใช้สารสกัดกัญชาในปริมาณมากๆอาจไม่ใช่ทางออกในการรักษาเสมอไป เพราะมีงานวิจัยของวารสารทางการแพทย์ที่เกี่ยวกับสารปวดชื่อ Journal of Pain เมื่อปี พ.ศ. 2555 ซึ่งได้รานงานการใช้สารสกัดเสปรย์พ่นในสัดส่วน THC ต่อ CBD เท่าๆกัน เป็น 1 ต่อ 1 ในมนุษย์ ซึ่งยาที่มีสัดส่วนดังกล่าวเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศในการให้ใช้ทางการแพทย์ถึง 12 ประเทศแล้ว
การวิจัยได้นำสารสารกัดกัญชาที่มีสัดส่วนระหว่าง THC และ CBD 1 ต่อ 1 ในผู้ป่วยมะเร็งจำนวน 263 คน ซึ่งใช้สารกลุ่มมอร์ฟีนแล้วไม่ได้ผลต่อการปวด โดยกลุ่มที่ใช้สารสกัดกัญชาน้อยในปริมาณ 21 มิลลิกรัมต่อวัน ให้ผลลดอาการปวดดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและดีกว่ากลุ่มที่ได้ใช้สารสกัดกัญชา 52 มิลลิกรัมต่อวัน ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับ 83 มิลลิกรัมต่อวันกลับลดผลของอาการปวดได้ไม่ดีกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอก (ยาหลอกคือยาที่ไม่ได้มีสารสกัดกัญชาเลย)แถมได้ผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ตามมาอีกจำนวนมาก [1]
แต่ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ กัญชาคือสมุนไพรในตำรับยาไทยนั้น ไม่ได้สกัดสารตัวใดตัวหนึ่งออกมา ย่อมมีสารสำคัญในกลุ่มแคนนาบินอยด์ครบทั้ง 113 ตัว แต่ก็ไม่ได้ใช้ปริมาณที่มาก จึงไม่ออกฤทธิ์ให้เมา
แต่ตำรับยาไทยที่เข้า “กัญชาในปริมาณที่มาก” มักใช้พริกไทยหรือพริกร่อน ซึ่งเป็นสมุนไพรฤทธิ์ร้อนธาตุไฟที่จะมาเข้าตำรับในสัดส่วนน้ำหนักที่มากหรือมากกว่ากัญชา เพื่อลดผลข้างเคียงของกัญชาในหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มพริกไทยนี้จะมีสารสำคัญที่ชื่อพิพเพอร์รีน (Piperine) ช่วยเสริมการฤทธิ์ของกัญชาให้สูงขึ้นอย่างมหาศาล ดังนั้นแม้ตำรับยาไทยจะไม่ทำให้เมา แต่จะทำให้นอนหลับ หยุดอาการเกร็งสั่น เจริญอาหาร และผ่อนคลาย ซึ่งน่าจะทำการวิจัยไปพร้อมกับการใช้รักษาจริงต่อไป เมื่อกัญชาเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายในทางการแพทย์แล้ว ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต
อ้างอิง [1] Portenoy RK, et al.Nabiximols for opioid-treated cancer patients with poorly-controlled chronic pain: a randomized, placebo-controlled, graded-dose trial, J Pain. 2012 May;13(5):438-49. doi: 10.1016/j.jpain.2012.01.003. Epub 2012 Apr 5.