เปิดผลงานวิจัยทดลองใช้กัญชาในผู้ป่วยมะเร็งเกือบ 3,000 คน

รูปแสดงโฆษณา ยาขาว

ฟ้าทะลายโจร

ยาลม 300 จำพวก

Star InactiveStar InactiveStar InactiveStar InactiveStar Inactive
 

ก่อนจะไปด่านสำคัญว่ากัญชาจะมีส่วนที่จะช่วยบำบัดรักษาโรคมะเร็งได้จริงหรือไม่นั้น เอาเพียงแค่ว่าถ้ามีงานวิจัยที่พิสูจน์หรือมีเบาะแสได้ว่ากัญชาเป็นพืชสมุนไพรที่ช่วยลดอาการข้างเคียงจากการรักษาโรคมะเร็ง ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะปลดล็อกกัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์ได้แล้วจริงหรือไม่?

 งานวิจัยที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ ปรากฏการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ของยุโรปที่ชื่อว่า European Journal of Internal Medicine. ฉบับเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2561 ซึ่งได้ทำการศึกษาการวิเคราะห์แบบไปข้างหน้าเพื่อดูผลในเรื่องความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการใช้กัญชาในทางการแพทย์ในประชากรขนาดใหญ่ที่ไม่ได้มีการคัดเลือกของผู้ป่วยโรคมะเร็งในประเทศอิสราเอล จำนวนทั้งสิ้น 2,970 คน ระหว่างปี พ.ศ. 2558-2560 โดยหัวข้องานวิจัยที่มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “Prospective analysis of safety and efficacy of medical cannabis in large unselected population of patients with cancer.”

ทั้งนี้ อิสราเอลเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีชื่อเสียงระดับโลกในเรื่องผลการวิจัยในเรื่องกัญชาทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และการทดลองในมนุษย์ และด้วยเหตุผลนี้เองทำให้ในปี พ.ศ. 2550 กระทรวงสาธารณสุขของประเทศอิสราเอลได้อนุญาตให้นำกัญชามาใช้ในทางการแพทย์ได้ จนถึงวันนี้มีคนในอิสราเอลมากกว่า 30,000 คนที่อยู่ระหว่างการใช้กัญชาในทางการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำมาใช้ในผู้ป่วยโรคมะเร็งที่อยู่ในระยะประคับประคองในช่วงสุดท้ายก่อนเสียชีวิต ซึ่งรวมถึงการใช้กัญชาเพื่อบรรเทาอาการปวด และคลื่นไส้ ฯลฯ

ดังนั้นงานวิจัยดังกล่าวนี้มุ่งเน้นไปในผู้ป่วยโรคมะเร็งในระยะสุดท้ายที่มีแพทย์สั่งจ่ายกัญชาเพื่อช่วยลดอาการต่างๆ โดยผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวนี้มีอาการเจ็บป่วยรุนแรงอันสืบเนื่องมาจากเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งในระยะที่ 4 ถึง 51.2% ผู้ป่วยเป็นเพศหญิงจำนวน 54.6% เป็นเพศชายจำนวน 45.4%และผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ยที่ 59.5 ปี ทั้งนี้ยังพบว่าผู้ป่วยเหล่านี้เคยมีประสบการณ์ในการใช้กัญชามาก่อน 26.7%

เมื่อสำรวจจำนวนชนิดของผู้ป่วยมะเร็งที่เข้าสู่การเก็บสถิติสำรวจงานวิจัยครั้งนี้ประกอบไปด้วย โรคมะเร็งเต้านม 20.7%, โรคมะเร็งปอด 13.6%, โรคมะเร็งตับอ่อน 8.1%, โรคมะเร็งลำไส้ 7.9% โดยกัญชาที่ถูกนำมาใช้ในผู้ป่วยโรคมะเร็งเพื่อบำบัดอาการหลักดังต่อไปนี้คือ นอนไม่หลับ 78.4%, มีอาการปวด 77.7% โดยมีค่ากลาง (Median)แสดงความรุนแรงในการปวดในระดับคะแนน 8 เต็ม 10, มีอาการอ่อนเพลีย 72.7%, คลื่นไส้ 64.6%, รับประทานอาหารไม่ได้ 48.9%

ผลการวิจัยได้ติดตามผลต่อไปหลังจาก 6 เดือนผ่านไป ปรากฏว่าจากผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ใช้กัญชาจำนวน 2,970 คน มีผู้ป่วยจำนวน 902 คน (24.9%)เสียชีวิต, และมีผู้ป่วยจำนวน 682 คน (18.8%)หยุดการใช้กัญชา จึงทำให้เหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ยังใช้กัญชาจนจบโครงการสำรวจจำนวน 1,211 คน (60.6%)

ในจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็ง 1,211 คน ตอบแบบสอบถามสรุปความได้ว่า 95.9% มีอาการดีขึ้นจากอาการของตัวเอง ทั้งนี้มีจำนวน 18.8% ที่มีรายงานว่ามีอาการดีหรือคุณภาพชีวิตดีตั้งแต่ก่อนเริ่มใช้กัญชา ในขณะเดียวกันมีจำนวน 69.5% มีอาการดีหรือคุณภาพชีวิตดีหลังจากใช้กัญชาไปได้เป็นเวลา 6 เดือน อย่างไรก็ตามมีผู้ป่วยโรคมะเร็งจำนวน 45 คน (3.7%)รายงานว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในขณะที่มีผู้ป่วย 4 คน (0.3%) รายงานว่ามีอาการทรุดลง [1]

ผลการวิจัยดังกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นว่าการใช้กัญชาในทางการแพทย์นั้นมีความปลอดภัยและตอบสนองได้ดีในภาพรวม อย่างไรก็ตามมีรายงานผลข้างเคียงในการใช้กัญชาที่พบได้มากที่สุดได้แก่ เวียนศีรษะ, ปากแห้ง, ทำให้ง่วงนอน, แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่รุนแรงในบริบทของกลุ่มประชากรผู้ป่วยโรคมะเร็งในระยะลุกลาม

นอกจากนั้นงานวิจัยดังที่กล่าวมาข้างต้นยังมีผลที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือการใช้สารในกลุ่มฝิ่นหรือโอปิออยด์ หรือที่รู้จักกันในชื่อมอร์ฟีน ซึ่งเป็นยาแก้ปวดที่มีการใช้กันในผู้ป่วยโรคมะเร็งเป็นปกติอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนเข้าโครงการวิจัยใช้กัญชา แต่ปรากฏว่าเมื่อมีการใช้กัญชาในผู้ป่วยโรคมะเร็งผ่านไป 6 เดือน พบว่าผู้ป่วยหยุดใช้สารโอปิออยด์ถึง 36% และมีการลดปริมาณการใช้สารโอปิออยด์ลงไป 9.9% ซึ่งแม้ว่าในความเป็นจริงแล้วการหยุดอาการปวดของกัญชากับฝิ่นจะเป็นคนละระบบในร่างกายมนุษย์ แต่การใช้กัญชาในทางการแพทย์ก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นคู่แข่งช่วงชิงผลประโยชน์อันมหาศาลจากมอร์ฟีนในอนาคตได้ด้วยเช่นกัน

งานวิจัยข้างต้นถือได้ว่าเป็นการสำรวจประชากรกลุ่มใหญ่ เป็นการศึกษาติดตามผลแบบไปข้างหน้า อย่างไรก็ตามงานวิจัยชิ้นนี้ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่บางประการเหมือนกับงานวิจัยอื่นๆที่มีรูปแบบและลักษณะของการวิจัยเช่นนี้

ตัวอย่างเช่น ไม่สามารถมีการใช้ยาหลอกเพื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มใช้กัญชาจริงได้ (เพราะผู้ป่วยระยะสุดท้ายคงไม่ยินยอมหากมีการใช้ยาหลอกกับตนเอง) หรือการใช้แบบสอบถามก็อาจจะทำให้เกิดอคติของผู้ป่วยได้ หรืออาจจะละเลยตัวแปรอื่นๆที่ผู้ป่วยแต่ละคนมีความแตกต่างกัน เช่น ชนิดของคีโมที่ใช้การรักษา สมุนไพรที่มีการใช้ อาหารที่รับประทาน ฯลฯ อย่างไรก็ตามก็ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของงานวิจัยในมนุษย์ในประชากรกลุ่มใหญ่สำหรับการใช้กัญชาในการบำบัดอาการที่เป็นผลจากการรักษาโรคมะเร็ง

สำหรับท่านผู้อ่านที่สงสัยว่าแทนที่จะวิจัยทดลองใช้กัญชาเพื่อรักษาโรคมะเร็งตรงๆไปเลย เหตุใดจึงใช้กัญชามาใช้บำบัดอาการข้างเคียงจากการรักษาโรคมะเร็งเท่านั้น คำตอบที่ได้ก็คือแพทย์แผนปัจจุบันจะใช้การคีโมหรือการฉายแสงในการบำบัดก่อนเท่านั้น เพราะในยุคปัจจุบันหากยังไม่มีผลการวิจัยที่ชัดเจนในสัตว์ทดลองก็คงจะไม่มีใครปล่อยให้ผ่านในเรื่องจริยธรรมการวิจัยทดลองในมนุษย์ได้ เช่นเดียวกับการที่จะวิจัยใช้กัญชาถึงขั้นจะรักษาโรคมะเร็งในมนุษย์นั้น โอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้ป่วยหมดสิ้นหนทางในการรักษาในแนวทางการใช้คีโมบำบัดหรือการฉายแสงแล้วและยินยอมที่จะทดลองใช้กัญชาเท่านั้น ซึ่งก็อาจจะทำได้เป็นรูปแบบของเป็นกรณีศึกษาเท่านั้น

ตัวอย่างเช่น กรณีที่มีเด็กอายุ 14 ขวบ ป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวซึ่งผ่านกระบวนการรักษาในแผนปัจจุบันแล้วไม่ประสบความสำเร็จสุดท้ายจึงมาใช้น้ำมันกัญชง ซึ่งให้ผลลัพธ์ในการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ผลเป็นอย่างดี แต่สุดท้ายกลับเสียชีวิตด้วยภาวะทางเดินอาหารทะลุ [2]

ผลการสำรวจอีกชิ้นหนึ่งเกิดขึ้นที่ประเทศแคนนาดา ตีพิมพ์ในวารสารที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์มะเร็งในปัจจุบันที่มีชื่อว่า Current Oncology โดยตีพิมพ์เมื่อเดือนมิถุนายน 2561 โดยมีการส่งแบบสอบถามผู้ใช้กัญชาจำนวน 3,138 ฉบับ และมีการตอบกลับมาทั้งสิ้น 2,040 ฉบับ ในจำนวนนี้มีการ กรอกแบบสอบถามได้ครบถ้วนเพียงพอสำหรับการประเมินผลจำนวน 1,987 ฉบับ ซึ่งผลการสำรวจพบว่าเหตุผลสำคัญที่ใช้กัญชาในผู้ป่วยมะเร็งก็เพื่อบรรเทาอาการปวด 46% เพื่อบรรเทาอาการคลื่นไส้จำนวน 34% และอาการอื่นๆของโรคมะเร็งอีก 34% แต่ก็มีส่วนที่ไม่มีความสัมพันธ์ถึงเหตุผลว่าเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งอีก 56%

ยังไม่ต้องไปไกลถึงขั้นว่ากัญชารักษามะเร็งได้หรือไม่ แต่เอาเฉพาะในเรื่องที่ว่ากัญชานั้นสามารถช่วยลดอาการข้างเคียงในผู้ป่วยมะเร็งได้ และทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น ก็สมควรแล้วหรือไม่ที่จะดำเนินการปลดล็อกกฎหมายให้ใช้กัญชาในทางการแพทย์ได้แล้วหรือไม่?

ก็คงเหลือข้อกังวลประการเดียวก็คือกัญชาเป็นยาเสพติด ซึ่งในความเป็นจริงจากงานวิจัยพบว่าผู้ที่ใช้กัญชามีอัตราความเสี่ยงสะสมที่จะเสพติดน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับการเสพติดบุหรี่หรือเสพติดเหล้า [4]

โดยตรรกะจากงานวิจัยข้างต้น ถ้าเหล้าและบุหรี่ยังขายได้ (แบบมีการควบคุม)โดยไม่เคยถูกระบุอยู่ในบัญชีว่าเป็นยาเสพติดได้ฉันใด กัญชาก็ซึ่งมีประโยชน์ทางการแพทย์ก็ควรจะมีวิธีการจัดการในลักษณะอื่นโดยไม่ต้องเป็นยาเสพติดได้ฉันนั้น

โดยเฉพาะหากมีความกังวลของสารสกัดเข้มข้นของกัญชาในยุคปัจจุบันที่มีผลข้างเคียงและข้อจำกัดในการใช้จริงอยู่หลายประการ จึงควรจะพิจารณาปลดล็อกกัญชาให้กับภูมิปัญญาการใช้กัญชาในตำรับยาไทยที่ได้สั่งสมประสบการณ์มาอย่างยาวนานในวิธีการใช้กัญชาจริงในมนุษย์ เพราะอย่างน้อยที่สุดการใช้กัญชาในตำรับยาไทยก็ได้มีการจำกัดสารสำคัญในกัญชาเอาไว้แล้ว ด้วยรูปแบบที่มีเครื่องยาอื่นๆ ที่ผสมอยู่อีกจำนวนมาก

แต่สถานการณ์ความยุ่งยากของกัญชาไทยในวันนี้ จะต้องเผชิญกับศึกหลายด้าน เริ่มตั้งแต่มีคนบางกลุ่มหวังจะให้องค์การเภสัชกรรมผูกขาดการผลิตกัญชาแต่เพียงผู้เดียว เพื่อจะได้วิ่งเต้นได้ง่ายโดยไม่ต้องมีใครมาแข่งขันในเรื่องคุณภาพและราคาได้ คนบางกลุ่มก็ยังอยากให้กัญชาผิดกฎหมายต่อไปเพราะหวังสินบนนำจับจากกัญชาจากงบประมาณที่ได้มาจำนวนมาก คนบางกลุ่มก็เป็นหุ้นส่วนร่วมแสวงหาผลประโยชน์ให้กับเครือข่ายธุรกิจกัญชาใต้ดินได้เป็นอย่างเป็นล่ำเป็นสัน คนบางกลุ่มก็วิ่งเต้นหวังถึงขั้นผูกขาดทำสัมปทานเพื่อผูกขาดแต่เพียงผู้เดียว ยังไม่นับกลุ่มบริษัทยาที่อาจจะกลัวสูญเสียประโยชน์อย่างมหาศาลเพราะกัญชาอาจกลายเป็นคู่แข่งยาบางตัวที่สร้างรายได้อย่างมหาศาล นี่คืออุปสรรคสำคัญที่ทำให้กัญชาไทยยังไม่คืบหน้าเสียที จนประเทศเพื่อนบ้านเขาจะแซงหน้าประเทศไทยกันไปหมดแล้ว

จึงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่งถ้ายังล่าช้าอยู่ เพียงเพราะคนไทยมัวแต่มองผลประโยชน์ของตัวเอง เพราะนอกจากจะทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากเสียโอกาสแล้ว ยังทำให้ประเทศไทยล่าช้าในการวิจัยเพื่อพัฒนาต่อยอดจากภูมิปัญญาการใช้กัญชาที่มีมาอย่างยาวนาน ซึ่งจะส่งผลทำให้ต่างชาติทยอยจดสิทธิบัตรไปเรื่อยๆ จนในท้ายที่สุดประเทศชาติก็ต้องพึ่งพาการนำเข้ากัญชาจากต่างประเทศแทนอย่างน่าเสียดายยิ่ง

ด้วยความปรารถนาดี

ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต

 อ้างอิง

[1] Bar-Lev Schleider L, Mechoulam R, Lederman V, et al. Prospective analysis of safety and efficacy of medical cannabis in large unselected population of patients with cancer. Eur J Intern Med. 2018;49:37-43 [PubMed] [Ref list] [2] Singh Y, Bali C. Cannabis Extract Treatment for Terminal Acute Lymphoblastic Leukemia with a Philadelphia Chromosome Mutation. Case Reports in Oncology. 2013;6(3):585-592. doi:10.1159/000356446. [3] Martell K, Fairchild A, LeGerrier B, et al. Rates of cannabis use in patients with cancer. Current Oncology. 2018;25(3):219-225. doi:10.3747/co.25.3983. [4] Lopez-Quintero C, Pérez de los Cobos J, Hasin DS, et al. Probability and predictors of transition from first use to dependence on nicotine, alcohol, cannabis, and cocaine: results of the National Epidemiologic Survey on Alcohol and Related Conditions (NESARC). Drug Alcohol Depend. 2011;115(1-2):120-130. doi:10.1016/j.drugalcdep.2010.11.004.