“กัญชา” เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์กำลังกลายเป็นกระแสที่ไม่สามารถจะมีใครขัดขวางได้อีกต่อไปแล้ว ไม่เว้นแม้กระทั่งองค์การอนามัยโลก ได้นำเสนอข้อแนะนำผลสรุปในเวทีกรรมการผู้เชี่ยวชาญยาเสพติด ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากสมาชิกองค์การสหประชาชาติ 53 ประเทศ
โดยองค์การอนามัยโลกได้ทำหนังสือของมติที่ประชุมต่อคำแนะนำดังกล่าว ถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2562 เพื่อนำเสนอคำแนะนำให้มีการทบทวนเปลี่ยนสถานภาพ การจัดกลุ่ม ของกัญชาและสารสกัดกัญชาเสียใหม่ โดยในเบื้องต้นจะมีการนำเสนอบรรจุเป็นวาระในเดือนมีนาคม 2562 นี้
นับเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปีที่ ที่กัญชาถูกตราตรึงว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายเพราะเป็นยาเสพติด กำลังถูกถ่วงดุลด้วยคุณค่าและคุณประโยชน์ทางการแพทย์ ซึ่งมาพร้อมกับหลักฐานที่ปรากฏด้วยงานวิจัยอย่างมากมายมหาศาลในเวลานี้ เพื่อให้ท่านผู้อ่านเข้าใจในเนื้อหาของบทความนี้ได้ดียิ่งขึ้น จึงขอเกริ่นนำก่อนว่า กัญชาและกัญชงนั้นในต่างประเทศเขาถือเป็นพืชกลุ่มเดียวกัน เพียงแต่ว่าชนิดและองค์ประกอบของสารสำคัญในกลุ่มที่เรียกว่าสารกลุ่มแคนนาบินอยด์ (Cannabinoid) มี “สัดส่วน” และปริมาณไม่เท่ากัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสำคัญ 2 ชนิดที่ทั่วโลกให้ความสนใจมากที่สุด (ในเวลานี้) ก็คือ สารเดลต้า 9 เตทตระไฮโดรแคนนาบินอยด์ (delta-9-tetrahydrocannabinoid) หรือเรียกสั้นๆว่า ทีเอชซี (THC) กับสารสำคัญอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า แคนนาบิไดออล (Cannabidiol) หรือที่เรียกว่า ซีบีดี (CBD)
ความแตกต่างอันสำคัญของสาร THC กับ CBD ประการสำคัญคือ สาร THC นี้ออกฤทธิ์ทางจิตประสาทหรือทำให้เมาได้ ในขณะที่สาร CBD นั้น แม้จะเป็นสารกลุ่มแคนนาบินอยด์เหมือนกัน แต่ไม่ได้ออกฤทธิ์ให้เมา
“กัญชา” เรียกในภาษาอังกฤษว่า “มาลีฮวนน่า” (Marijuana) มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Cannabis Sativa L. Subsp. Indica (Lam.) E. Small & Cronquist) คนจึงมักจะเรียกกัญชาว่าเป็นสายพันธุ์ “อินดิก้า” โดยในกัญชานี้มีสาร THC ออกฤทธิ์จากจิตประสาทหรือทำให้เมา ประมาณ 1-10% และมีสัดส่วนของ THC สูงกว่า CBD
ในขณะที่ “กัญชง” เรียกในภาษาอังกฤษว่า “เฮมพ์” (Hemp) มีชื่อวิทยาศาสตร์ตระกูลพืชชนิดเดียวกันแต่เป็นคนละสายพันธุ์กันคือ Cannabis Sativa L. Subsp. Sativa ซึ่งคนมักจะเรียกกลุ่มนี้ว่าเป็นสายพันธุ์ “ซาติว่า” โดยในกัญชงนี้มีสาร THC ออกฤทธิ์จากจิตประสาทหรือทำให้เมานั้นต่ำกว่ามาก คือมีสาร THC ไม่เกิน 0.1-0.3% และมีสัดส่วนของ THC ต่ำกว่า CBD
แม้ในภาษาอังกฤษจะเรียกพืชกลุ่ม “กัญชง-กัญชา” นี้ว่าเป็นแคนนาบิส (Cannabis) เหมือนกัน แต่คนไทยรู้จักแยกแยะสายพันธุ์ผ่านการเรียกชื่อ ให้แตกต่างกันระหว่าง “กัญชา”กับ “กัญชง” โดย “กัญชา” มีสาร THC สูงกว่าจึงย่อมทำให้เมาได้ แต่ “กัญชง” มีสาร THC ต่ำกว่ามากจึงไม่ออกฤทธิ์ทำให้เมาแต่อย่างใด
ด้วยเหตุผลนี้ “กัญชา” จึงเป็นที่รู้จักมากกว่าเพราะมันทำให้เมาได้ จึงเป็นที่นิยมนำมาสูบเพื่อสันทนาการผ่อนคลายอารมณ์ได้ ในขณะนี้ “กัญชง” เป็นที่รู้จักน้อยกว่าเพราะเมื่อสูบแล้วจะไม่เมา
“กัญชา” สำหรับคนไทยแล้ว ได้จัดอยู่ในกลุ่มการเสพของมึนเมาเทียบชั้น ฝิ่น เหล้า และกระท่อม ตัวอย่างปรากฏภาษิตเก่าแก่ของชาวนครศรีธรรมราชว่า
“เหล้าว่าเอาวา กัญชาว่าอย่าก่อน ฝิ่นว่าคิดให้แน่นอน ท่มว่าหาบคอนยกให้ฉาน”
แปลความว่า เหล้าดื่มมากแล้วจะกล้าบ้าบิ่นพร้อมมีเรื่องทะเลาะวิวาท กัญชาเสพมากแล้วจะทำให้ขลาดกลัว ฝิ่นเสพมากแล้วทำให้ใคร่ครวญไตร่ตรองมาก กระท่อม(ท่ม)เสพแล้วจะมีกำลังสามารถยกหาบของได้ จึงขอยกให้เป็นของฉัน (ฉาน)
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าภาษิตเก่าแก่ดังที่ว่านี้ไม่ได้กล่าวถึง “กัญชง” เพราะว่ากัญชงไม่ทำให้เมาจึงไม่สามารถเข้าพวกกับกลุ่มพืชเหล่านี้ได้เลย
แต่ในความจริงแล้วสารสำคัญทั้งในกัญชาและกัญชงเหมือนกัน แต่มีสัดส่วนและปริมาณของสารสำคัญไม่เท่ากัน จึงออกฤทธิ์ทางยาตามวัตถุประสงค์ไม่เหมือนกัน โดยในวงการแพทย์แผนไทยรู้จักนำทั้งกัญชงและกัญชามาปรุงเป็นยาในตำรับยาจำนวนมากตามวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน มานานหลายร้อยปีแล้ว
แต่เมื่อสถานการณ์ล่าสุดของการเคลื่อนไหว ในหนังสือที่ให้คำแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่มีต่อองค์การสหประชาชาติครั้งนี้ กรณีสาร CBD ซึ่งไม่ได้ทำให้เมาว่า
“สาร CBD บริสุทธิ์ ไม่ควรจะอยู่ในบัญชียาเสพติด ซึ่งรวมถึงเตรียมยาที่มี สาร CBD ซึ่งมีองค์ประกอบของเดลต้า 9 เตทตระไฮโดรแคนนาบินอยด์ (delta-9-tetrahydrocannabinol) หรือ THC ไม่เกิน 0.2% ก็ไม่ต้องมีการควบคุมระหว่างประเทศอีกต่อไปอีกด้วย” [1]
นั่นหมายความว่า “นอกจากกัญชงจะไม่มีปัญหาเรื่องจิตประสาทเหมือนกัญชาแล้ว โอกาสที่จะปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจอย่างเสรีก็อาจจะดีกว่ากัญชาด้วย เพราะขายได้ง่ายกว่า ติดอุปสรรคหรือข้อถกเถียงในฐานะเป็นยาที่ออกฤทธิ์ทางจิตประสาทน้อยกว่ากัญชง” ซึ่งมีสาร CBD สูงกว่า และมี THC ต่ำกว่า อาจจะไม่ต้องมีการควบคุมอีกต่อไป
ดังนั้นต่อจากนี้ไปกัญชงคงไม่ต้องปลูกเพียงเพื่อนำมาใช้เป็นใยผ้าอย่างเดียวในประเทศไทยเท่านั้น เพราะสารสำคัญที่มีอยู่ในน้ำมันกัญชงก็จะสามารถนำมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ได้ด้วย ซึ่งจะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่าใยผ้าอย่างมหาศาล
รวมไปถึงสารสกัดสำคัญที่ได้จากกัญชาหรือกัญชง ซึ่งคัดเอามาแต่สารสำคัญเฉพาะ CBD โดยมี THC ไม่เกิน 0.2% แล้ว ก็จะกลายเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายไม่ต้องถูกควบคุมอีกต่อไป
รวมไปถึงสารสังเคราะห์ทางเคมีซึ่งมีโครงสร้างเหมือน CBD ก็จะไม่ต้องถูกควบคุมไปด้วยเช่นกัน
คำถามมีอยู่ว่าถ้ามี CBD จะนำมาใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง?
วารสารทางด้านกัญชาและสารสกัดกัญชาที่ชื่อว่า Cannabis Cannabinoid Research เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2561 ได้สำรวจประชากรผู้ใช้ CBD จำนวน 2,409 คน พบว่า 62 % ได้ใช้ CBD เพื่อประโยชน์ในการบำบัดรักษาทางการแพทย์ โดย 3 อันดับแรกที่มีการใช้มากที่สุด ได้แก่ เพื่อบำบัดอาการปวด, อาการวิตกกังวล, และภาวะซึมเศร้า ทั้งนี้ผู้ใช้ 36 % ของการตอบแบบสอบถามว่าการใช้ CBD ได้ผลดีมาก ในขณะที่มีเพียง 4.3% ตอบแบบสอบถามว่าไม่ได้ให้ผลดีมาก อย่างไรก็ตามผลของการใช้ CBD เพื่อประโยชน์ในการบำบัด จะได้ผลในกลุ่มที่ไม่ได้ใช้กัญชาเป็นประจำมากกว่า 44% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่เคยใช้กัญชาอยู่เป็นประจำ [1]
แต่สำหรับงานวิจัยทางพรีคลีนิก หรือการทดลอง “ก่อนการทดลองในมนุษย์” เช่น หลอดทดลอง หรือสัตว์ทดลองนั้น พบเบาะแสที่มีศักยภาพในทางการแพทย์จำนวนมากของสาร CBD ใช้สำหรับการบำบัดอาการด้วยตัวสาร CBD เอง หรือ ใช้ร่วมกับการรักษากับยาตัวอื่น เช่น โรคลมชัก โรคจิตประสาท อาการวิตกกังวล โรคซึมเศร้า การอักเสบ โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ การเสื่อมของระบบประสาท อาการที่เกิดจากการอักเสบของปลอกประสาท โรคมะเร็ง การปวดเรื้อรัง [2]-[17]
CBD มีเบาะแสในการรักษาได้มากเช่นนี้ และก็ยังสามารถนำมาใช้ในปริมาณได้มากกว่าสาร THC ด้วย ซึ่งต่างจากสาร THC ซึ่งมีมากในกัญชา แม้จะมีเบาะแสในการรักษาหลายโรคสำคัญได้อย่างดีมาก แต่กลับมีข้อจำกัดในการใช้ในมนุษย์ เพราะออกฤทธิ์ทางจิตประสาทมาก ทำให้เมา หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ำ ลดความสามารถระบบทางเดินอาหาร กดระบบภูมิคุ้มกัน ฯลฯ
แต่ถึงกระนั้นงานวิจัยทางพรีคลีนิกทำให้เราได้เรียนรู้ว่า การรักษาโดยใช้ CBD บริสุทธิ์ 100% นั้น กลับให้ผลได้ไม่ดีเท่ากับการมี THC ผสมอยู่ด้วยบ้าง และหลายงานวิจัยก็ยังพบอีกว่าการใช้ปริมาณที่น้อยกว่ากลับให้ผลการรักษาที่ดีกว่าเมื่อใช้สาร CBD สูงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก
งานวิจัยทางคลีนิกกำลังสอนให้มนุษย์รู้ว่า การสกัดสารสำคัญออกมาตัวใดตัวหนึ่งออกจากสมุนไพร อาจมีผลการรักษาได้ไม่ดีเท่ากับความหลากหลายของพืชสมุนไพรตัวนั้น และการใช้ปริมาณมากๆก็อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องเสมอไปในการบำบัดรักษา
นอกจากนั้น ต้องไม่ลืมว่าสารกลุ่มแคนนาบินอยด์ในกัญชาและกัญชงมีอยู่รวมกันมากถึง 113 ชนิด แต่นักวิจัยในยุคปัจจุบันทั่วโลกเพิ่งจะมีความรู้และให้ความสำคัญเพียง 2 ตัวคือ THC และ CBD เท่านั้น นั่นหมายความว่าคนในยุคปัจจุบันเรายังรู้จักกัญชาอยู่น้อยมาก
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ทีมงานนักวิจัย วิทยาลัยเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ภายใต้การสนับสนุนของ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดี ได้กำลังทุ่มสรรพกำลัง และสติปัญญา เพื่อวิจัยในสัตว์ทดลองเพื่อเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติในเรื่องขององค์ความรู้ “สารสกัดกัญชาอื่นๆ” ที่มีผลต่อโรคมะเร็งหลายชนิด ซึ่งรวมถึงปริมาณสารสำคัญที่จะสามารถคำนวณกลับมา สำหรับการวิจัยในมนุษย์ที่เหมาะสมภายในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ โดยองค์ความรู้นี้จะทำให้เกิดการใช้งานสารสกัดกัญชาให้มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ป่วยได้ใช้สารสกัดกัญชาเหล่านี้ได้อย่างมี คุณภาพ มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัย
มีอีกประเด็นหนึ่งในการใช้กัญชา ในฐานะเป็นสมุนไพรโดยไม่ต้องสกัดสารสำคัญตัวใดตัวหนึ่งออกมา ตำรับยาในแพทย์แผนไทยนั้นไม่ได้ให้กัญชาออกฤทธิ์เมา จึงมักจะไม่ได้ใช้ส่วนที่เป็นดอกกัญชาแต่เพียงอย่างเดียว เพราะส่วนดอกนั้นมีสารแคนนาบินอยด์สูงที่สุด แต่ในตำรับยาไทยใช้ใบ หรือใช้หลายส่วนของต้นกัญชามารวมกัน ซึ่งแนวทางนี้หลายคนปรามาสว่าไม่ได้สกัดสารสำคัญออกมาให้มากพอจะไปมีผลต่อการรักษาได้อย่างไร
แต่เมื่อท่านอ่านข้อมูลดังต่อไปนี้อาจจะต้องทึ่งในความเฉลียวฉลาดของภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย เพราะภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยเมื่อรู้ว่ากัญชามีข้อจำกัดในการใช้เพราะทำให้เมา จึงใช้กัญชาจากหลายส่วนเพื่อลดความเข้มข้นในสารที่ออกฤทธิ์ทางจิตประสาทแรงแทนการใช้ดอกกัญชาแต่เพียงอย่างเดียว แต่ได้ใช้พริกไทย หรือพริกล่อน มาผสมในสัดส่วนที่สูงมาก ซึ่งงานวิจัยในยุคปัจจุบันค้นพบว่าพริกไทยและพริกล่อนมีสารสำคัญที่เรียกว่า พิพเพอรีน (Piperine) ซึ่งจะช่วยในการออกฤทธิ์ทางยาเพิ่มขึ้นมาได้อย่างมหาศาล
ผลของกัญชาที่เข้าตำรับยาในสัดส่วนที่มากจึงมีพริกไทยหรือพริกล่อนผสมในสัดส่วนที่มาก ก็คือใช้น้อยไม่ให้เมา แต่ออกฤทธิ์ทางยาได้มาก และยังทำให้เกิดการเคลื่อนตัวในลำไส้ดีขึ้น เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เป็นการแก้ผลเสียที่เกิดจากกัญชาได้อีกทางหนึ่ง
ตัวอย่างตำรับยาหายากที่เข้ากัญชาในปริมาณมากที่สุดตำรับหนึ่ง ชื่อ “อัมฤตย์โอสถ” ตำรับยานี้มีความน่าสนใจเพราะว่า ไม่ได้ปรากฏในตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวง รัชกาลที่ 5 ที่ได้มีการรวบรวมไว้โดย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูบดีราชหฤทัย จางวางกรมแพทย์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 พระนามเดิมคือ “พระองค์เจ้าชายอมฤตย์” ซึ่งชื่อยาตำรับ “อัมฤตย์โอสถ”นี้มีชื่อสอดคล้องกับพระนามเดิมด้วย
โดยตำรับยา “อัมฤตย์โอสถ”นี้เป็นยาแก้ลมกระษัยทั้งปวง ความหมายที่เทียบเคียง คือ โรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับความเสี่อมในระบบการเคลื่อนไหวในร่างกาย (ธาตุลม) ซึ่งย่อมเกี่ยวพันกับการสั่งการของสมองด้วย ซึ่งความจริงแล้วตำรับยานี้เกือบจะสูญหายไปเพราะไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวง รัชกาลที่ 5 แต่โชคดีที่ได้ถูกรวบรวมนำมาบันทึกต่อมาอีกครั้งใน ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ โดยพระยาพิษณุประสาทเวช ร.ศ. 116 และ ร.ศ. 118 และแจ้งบันทึกเป็นตำรับยาในตำราหลวงที่ค้นพบเพิ่มขึ้นมา 1 ใน 2 ขนาน ความว่า :
“ขนานหนึ่งชื่ออัมฤตย์โอสถ แก้ลมไกษยทั้งปวง เอาสหัสคุณ ๑ แก่แสมทเล ๑ รากส้มกุ้ง ๑ ลูกมะตูม ๑ ลูกมะแหน ๑ ลูกพิลังกาสา ๑ สมอเทศ ๑ สมอไทย ๑ โกฏเขมา ๑ เทียนคำ ๑ เทียนขาว ๑ ลูกจันทน์ ๑ ดอกจันทน์ ๑ กระวาน ๑ กานพลู ๑ ดีปลี ๑ ยาทั้งนี้เอาเสมอภาคเอาเปลือกหอยโข่ง ๑ เปลือกหอยขม ๑ เปลือกหอยแครง ๑ เบี้ยผู้เผา ๑ เอาสิ่งละ ๓ ส่วน เอากัญชา ๑๐ ส่วน เอาพริกไทย ๒ เท่ายาทั้งหลาย ตำผงกระสายยักย้ายใช้ให้ชอบโรคทั้งหลายเถิด ตำราหลวง ๒ ขนานเท่านี้แล”
และเนื่องจากมหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งมีทั้ง วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ วิทยาลัยเภสัชศาสตร์ วิทยาลัยแพทย์แผนตะวันออก รวมถึงสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย จึงย่อมมีศักยภาพที่จะนำองค์ความรู้จากงานวิจัยทางเภสัชศาสตร์ยุคใหม่ ให้มาบูรณาการพัฒนาต่อยอดจากรากฐานภูมิปัญญาตำรับยาไทยต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ทั่วโลกที่ไม่ได้เข้าใจในเรื่องตำรับยา จึงทุ่มงานวิจัยการสกัดสารสำคัญที่ปลอดภัยที่สุดแต่เพียงอย่างเดียว และด้วยอาการข้างเคียงของสาร CBD มีน้อยกว่า THC ทำให้ CBD ดูมีความปลอดภัยมากกว่าในการใช้ในมนุษย์ จึงเป็นผลทำให้สาร CBD ได้ถูกนำมาผสมในเครื่องดื่ม เครื่องสำอาง อาหารเสริม ยาสีฟัน ฯลฯ ตลาดของ CBD จึงเจริญเติบโตได้มากกว่า และขยายตลาดได้ง่ายและกว้างกว่ามากในยุคปัจจุบัน
ขอย้ำว่า CBD นั้นไม่ได้มีอยู่ในกัญชงอย่างเดียว แต่มีอยู่ในกัญชาไม่น้อยด้วย เพียงแต่ว่ากัญชงนั้นจะมีสัดส่วนของ THC ต่ำ แต่กัญชามีสาร THC สูงจึงทำให้มีข้อขัดแย้งในการสกัดเพื่อเอา CBD มาว่าจะทำอย่างไรกับสาร THC ที่ได้มาด้วย ส่งผลทำให้การปลูกกัญชงมีโอกาสจะถูกควบคุมด้วยความเข้มงวดน้อยกว่ากัญชา
อย่างไรก็ตาม กัญชงเองก็มีหลายประเภท เช่น ปลูกเพื่อนำไฟเบอร์มาทำประโยชน์ทอผ้าหรือส่วนประกอบวัสดุอย่างอื่นได้ บางประเภทมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์จากน้ำมันที่มีโอเมก้า 3 สูงซึ่งจะช่วยในเรื่องการลดการอักเสบของหลอดเลือดและทำให้เลือดเหลวตัวลง และบางประเภทก็ปลูกเพื่อผลิตสาร CBD เฉพาะอีกด้วย
ดังนั้นใครคิดจะปลูกกัญชงก็ควรจะมีความเข้าใจในการเลือกพันธุ์ที่เหมาะสมตามวัตถุประสงค์ของตัวเองด้วย
ด้วยความปรารถนาดี ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต