ตามลุงจำลองไปล้างพิษตับที่ไต้หวัน (ตอนจบ)

รูปแสดงโฆษณา ยาขาว

ฟ้าทะลายโจร

ยาลม 300 จำพวก

การทดลองล้างพิษลำไส้และตับแบบไต้หวันนำทีมโดย พลตรีจำลอง ศรีเมือง, อ.แก่นฟ้า แสนเมือง, อ.ขวัญดิน สิงห์คำ, หมอปาน (จิตรา ปลอดอักษร) และ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ตามสูตรที่ได้กล่าวในตอนที่แล้ว (แบบไม่ต้องมีการสวนล้างลำไส้) ปรากฏว่า พลตรีจำลอง ศรีเมือง และ อ.ขวัญดิน สิงห์คำ มีผลิตภัณฑ์จากการล้างพิษตับออกมามากที่สุด ส่วนใหญ่ก็คือไขมันที่อยู่ในตับและถุงน้ำดี

ภาพ 1 ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจากตับและถุงน้ำดีโดยไม่ต้องดีท็อกซ์ (สวนทวารล้างลำไส้)ของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ไต้หวัน

                                                              

       ภาพ 2 ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจากตับและถุงน้ำดีโดยไม่ต้องดีท็อกซ์ (สวนทวารล้างลำไส้)ของ อ.ขวัญดิน สิงห์คำ ที่ไต้หวัน

จากการล้างพิษใน ลำไส้ ถุงน้ำ ดี และตับที่ไต้หวันมีประเด็นที่น่าสังเกต 3 ประการดังนี้

1.สูตรการล้างพิษ "เฉพาะส่วนลำไส้" แบ่งออกเป็นหลายสูตรและหลายวัตถุประสงค์ดังนี้

สูตรของชาวอโศกหรือโรงเรียนผู้นำ ใช้ "ลิดท็อกซ์" ซึ่งมีส่วนผสมหลักก็คือธัญญพืช "ซิลเลียม" ซึ่งมีคุณสมบัติพองตัวเมื่อโดนน้ำ ทำให้เกิดการพองตัวในลำไส้และกวาดพิษตกค้างออกจากลำไส้ เมื่อนำมาผสมกับสมุนไพรไทยหลายชนิดจึงช่วยการขับถ่ายพิษอีกประการหนึ่ง เมื่อขับถ่ายออกมาหรือสวนล้างลำไส้ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจึงออกมาเป็นปล้องรูปลำไส้และขับของเสียออกได้มาก

สูตรของชาวอโศกหรือโรงเรียนผู้นำ ใช้ "ยาชำระเมือกมัน" สูตรหมอปาน มีสมุนไพรหลายชนิด เนื่องจากในลำไส้ได้ผลิตมูกเมือกเพื่อมาดักจับสารพิษในลำไส้ และบางส่วนเป็นไขมันตกค้างจากอาหาร เมื่อมูกเมือกและไขมันจากอาหารอยู่ในลำไส้นานจึงสะสมสารพิษอยู่ในลำไส้อยู่เป็นจำนวนมาก ยาประเภทนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการขับชำระเมือกมันเหล่านี้ออกจากร่างกายแต่ก็มีส่วนผสมของยาถ่ายบางส่วนด้วย ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจึงพบเป็นมูกเมือกและไขมันระหว่างการล้างพิษ

ส่วนสูตรของไต้หวันที่พวกเราได้ไปทดลองมานั้นใช้ "เอนไซม์ผง" สำหรับการล้างลำไส้โดยเฉพาะ มีวัตถุประสงค์คือเข้าไป "ย่อยสลาย"กากอาหารและสารพิษที่ตกค้าง และเอนไซม์จากมะละกอที่นำมาใช้ยังมีคุณสมบัติช่วยการขับถ่ายอีกด้วย ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาในการขับถ่ายจึงจะเห็นกากที่ถูกย่อยสลายแล้ว และจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวหรือคล้ายปลาเค็มอันเป็นผลมาจากการย่อยสลายกากที่ตกค้างอยู่ในลำไส้มาเป็นเวลานาน

แต่ไม่ว่าจะสูตรไหนก็ตามในการล้างลำไส้ข้างต้น แต่ก็ต้องเข้าใจว่าส่วนที่เป็นพิษตกค้างในลำไส้ระหว่างเดินทางผ่านขบวนการขับถ่ายนั้น หากสิ่งที่เป็นพิษตกค้างนั้นเดินทางช้าก่อนการขับถ่าย ก็อาจจะทำให้ลำไส้ดูดพิษตกค้างที่อยู่ระหว่างเดินทางเหล่านั้นกลับเข้าไปสู่ร่างกายอีก ทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า "ซ่านพิษ" ได้ ที่บางคนอาจมีอาการปวดหัว มึนงง ผื่นแดงขึ้น จาม หอบหืด ส ฯลฯ

สำหรับคนที่มีลักษณะ "ธาตุอ่อน" หรือขับถ่ายง่าย ก็แทบอาจจะไม่ต้องการอย่างอื่นในการช่วยในการขับถ่ายเพราะในการล้างลำไส้ทั้ง 3 ตัวข้างต้นนั้นก็ล้วนแล้วแต่ผสมยาถ่ายเอาไว้อยู่แล้วบ้าง แต่ถ้าบางคนเป็นกลุ่มคนที่ "ธาตุแข็ง" ก็อาจจะต้องปรับและเสริมในการขับถ่ายออกให้เร็วกว่านั้น และนี่คือเหตุผลว่าทำไมบางกรณีเราถึงต้องกินอะไรอีกหลายอย่างเพื่อช่วยการขับถ่ายเพิ่มเติม เช่น น้ำมะขาม มะขามแขก ดอกหรือใบชุมเห็ดเทศ น้ำมันละหุ่ง เนื้อในฝักคูณ ยาประเภทผสมดีเกลือไทย (โซเดียมซัลเฟต ซึ่งไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรความดันโลหิตสูง) ยาประเภทดีเกลือฝรั่ง (แมกนีเซียมซัลเฟต) แม้แต่กรณียาถ่ายข้างต้นหากไม่เพียงพอก็ต้องมีการสวนทวารล้างลำไส้ให้เร็วที่สุดในระหว่างที่เข้าหลักสูตรล้างพิษ

เราสรุปได้ว่าขบวนการล้างลำไส้โดยใช้เอนไซม์สูตรไต้หวันแม้จะใช้ "ผงเอนไซม์" ในการย่อยสลายสารตกค้างในลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก แต่ดูเหมือนว่า 2 คนจาก 5 คนที่เข้าหลักสูตรในครั้งนี้ยังไม่สามารถนำสารพิษตกค้างออกได้ทันในระหว่างขับถ่าย ทำให้ก่อนการถ่าย บางคนเกิดอาการปวดหัว บางคนอึดอัด บางคนอาเจียน หลังการรับประทานผงเอนไซม์ผสมน้ำสำหรับล้างลำไส้ เราจึงสรุปได้ว่าในส่วนการล้างลำไส้ในหลักสูตรของไต้หวันนั้นยังจำเป็นต้องเสริมด้วยยาถ่ายสูตรชาวอโศก และยังอาจจำเป็นต้องการสวนทวารล้างลำไส้อยู่

2. สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งในการล้างพิษครั้งนี้ เราพบว่าระหว่างการดื่มน้ำเอนไซม์ที่ได้มาจากการคัดพันธุ์จุลินทรีย์ 12 ชนิด ที่ได้อาหารจากพืช ผัก ผลไม้ สมุนไพรถึง 150 ชนิด โดยให้ดื่มตลอดทั้งวัน ทำให้ไม่รู้สึกอ่อนเพลียหรือมีอาการหิวเลยแม้แต่น้อย ต่างจากการดื่มน้ำผลไม้โดยตรง ที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการเคี้ยวจากปากทำให้ไม่ได้ผ่านขั้นตอนการผลิตเอนไซม์จากน้ำลาย เมื่อดื่มเข้าไปแล้วจึงเกิดกระบวนการหมักและเกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร และหากดื่มน้ำผลไม้สดมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดหรือจุกเสียดจากแก๊สเหล่านี้ได้ ในขณะน้ำเอนไซม์มีสารอาหารจากการย่อยสลายโดยจุลินทรีย์นั้นสามารถดูดซึมเข้าไปในร่างกายได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังได้น้ำตาลผลไม้ฟรุ๊กโตสอีกด้วย ทำให้ไม่เกิดอาการอ่อนเพลียหรือเกิดแก๊สที่ทำให้เกิดความอึดอัดแต่ประการใด

สิ่งที่น่าสนใจเราพบว่าในหลักสูตรล้างพิษในไทย ในบางกรณีที่บางคนตับทำงานยังไม่ดีแต่เมื่อล้างพิษลำไส้ออกไปเป็นจำนวนมาก ทำให้อาจสูญเสียจุลินทรีย์และเอนไซม์ในลำไส้ไปด้วย หากจุลินทรีย์ที่ใช้สำหรับการย่อยไม่สามารถขยายตัวเติบโตได้ดีหรือการผลิตเอนไซม์ยังน้อยอยู่ ก็อาจจะเกิดปัญหาในเรื่องระบบการย่อยได้ ซึ่ง อ.แก่นฟ้า แสนเมืองเห็นว่าในบางกรณีที่เกิดขึ้นเช่นนั้น น้ำเอนไซม์ที่ผลิตจากน้ำพืชผักผลไม้น่าจะทำหน้าที่ช่วยเหลือในเรื่องระบบการย่อยและการขับถ่ายหลังการล้างพิษได้

3. การล้างตับของไต้หวัน ก็ไม่แตกต่างจากของสันติอโศกและในหลายประเทศ คือใช้น้ำมันมะกอกเป็นตัวกระตุ้นให้ตับและถุงน้ำดีขับน้ำดีออกมาเพื่อย่อยสลายน้ำมันมะกอก เมื่อน้ำดีออกมาจำนวนมากก็จะนำพาสิ่งตกค้างอื่นๆในตับและถุงน้ำดีออกมาด้วย เช่น ไขมัน สารเคมีหรือพิษตกค้าง นิ่ว และเซลล์ในตับและถุงน้ำดี

แต่ดูเหมือนว่าสูตรอายุรเวท ที่ใช้น้ำมัน + ผลไม้รสเปรี้ยวนั้น แทบทุกประเทศต่างใช้น้ำมันมะกอกเหมือนกัน แต่ผลไม้รสเปรี้ยวที่นำมาผสมนั้นมีความแตกต่างกัน ของไต้หวันใช้น้ำมันมะกอก + ผงแอปเปิ้ลและผสมน้ำนั้น ไม่มีความอร่อยเลย เพราะผงแอปเปิ้ลที่ผสมกับน้ำนั้นไม่เข้ากับน้ำมันมะกอก ในขณะที่สูตรโรงเรียนผู้นำแต่เดิมใช้ น้ำมันมะกอก + น้ำมะนาวอย่างละเท่าๆกันสำหรับบางคนรสชาดนี้ก็ดื่มยาก

แต่สูตรที่น่าจะมีรสชาดดีหน่อยในเวลานี้น่าจะเป็น "น้ำมันมะกอก 1 ส่วน + น้ำมะนาว 1/2 ส่วน + น้ำส้ม 1/2 ส่วน แล้วใส่เกลือไปนิดหน่อย" รสชาดจะออกเหมือนน้ำสลัดและดื่มได้ง่ายมากกว่า

ที่น่าสนใจคือที่ไต้หวันไม่ต้องรออดอาหารหลายวันในการล้างลำไส้แล้วจึงมาล้างตับ แต่ใช้การล้างลำไส้โดยเอนไซม์เพียง 1 วัน และดื่มน้ำมันมะกอกในคืนนั้นเวลา 22.00 น. เลย อีกทั้งดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำผลไม้ในตอนเช้าซ้ำอีกครั้งเป็นครั้งที่สอง ในเวลา 08.00 น. ซึ่งก็ปรากฏว่าสิ่งตกค้างในตับและถุงน้ำดีก็ออกมา "ตลอดทั้งวัน"เช่นกัน ซึ่งในระหว่างนั้นก็จะพบว่าบางคนมีอาการซ่านพิษ เพราะสิ่งตกค้างจากตับและถุงน้ำดีบางส่วนลำไส้อาจดูดซึมกลับ 

จึงเป็นเหตุที่เรายังเห็นว่าอย่างไรเสียก็จำเป็นต้องหาทางขับถ่ายสิ่งตกค้างเหล่านี้ให้เร็วที่สุด และหากตัดสินใจไม่สวนทวารล้างลำไส้ สิ่งที่ตามมาก็คือจะต้องมีการขับถ่ายทั้งวัน ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดความน่ารำคาญแล้วการขับถ่ายบ่อยครั้งแล้ว ยังจะทำให้แสบในระหว่างการขับถ่ายอีกด้วย ด้วยเหตุผลนี้จึงสรุปได้ว่าการสวนทวารล้างลำไส้น่าจะยังดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีอื่น เพราะเมื่อสวนทวารล้างลำไส้แล้วทำให้การขับถ่ายรวดเดียวดึงออกมาได้เป็นจำนวนมากและจะทิ้งเวลาขับถ่ายออกไปได้นานกว่าจะมาขับถ่ายอีกครั้ง

อย่างไรก็ตามจากการที่เราได้ดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำผลไม้รสเปรี้ยว 2 ครั้งใน 24 ชั่วโมง ทำให้เราได้ข้อคิดว่าการดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำผลไม้รสเปรี้ยวเพื่อล้างตับหากสามารถทำให้ลำไส้สะอาดได้รวดเร็ว ก็ยังไม่จำเป็นต้องรออดอาหารเป็นเวลาหลายๆวันเหมือนกับการล้างลำไส้ ในขณะเดียวกันในช่วงการอดอาหารรอบหนึ่งก็สามารถดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำผลไม้รสเปรี้ยวได้มากกว่า 1 ครั้ง (หากมีกำลังเพียงพอ)

ปรากฏว่าที่ ศูนย์ล้างพิษที่ ศีรษะอโศก จ. ศรีสะเกษ และ ศูนย์ล้างพิษตับแบบองค์รวม ธัญสมุย เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ได้พัฒนาจัดให้มีการดื่มน้ำมันมะกอกมากกว่า 1 ครั้งแล้ว สำหรับผู้ที่มีความจำเป็นในการล้างพิษตับมากเป็นพิเศษ และต้องยังมีกำลังที่สามารถทำได้ ในบางคนทำได้ถึง 3-4 ครั้งในระหว่างการอดอาหารหลายวันนั้น ซึ่งก็ได้ผลลัพธ์ดีเป็นที่น่าพอใจเช่นกัน และถือว่าคุ้มเพราะอดอาหารรอบเดียวซึ่งใช้เวลาหลายวันและสามารถล้างพิษตับได้หลายรอบด้วย

หลังจากหลักสูตรล้างพิษครั้งนี้ผ่านไป "อาเปิ้ม" หรือ อ.ขวัญดิน สิงห์คำ ได้เกิดแรงบันดาลใจในการสานต่อและพัฒนาเรื่องน้ำหมักเอนไซม์ในประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพและให้มีผลทดสอบทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น ด้าน อ.แก่นฟ้า แสนเมือง ถึงขนาดเกิดแรงบันดาลใจเตรียมไปสมัครเรียนต่อปริญญาเอกด้านไบโอเทคที่ไต้หวันเพื่อให้ได้ความรู้ในด้านนี้เพิ่มเติม และเชื่อว่าจะสามารถพัฒนาหลักสูตรการล้างพิษให้ก้าวไกลช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้อีกมากอย่างแน่นอน ส่วนสูตรที่พัฒนาและปรับปรุงใหม่แล้วจะเป็นอย่างไร

โปรดติดตามในโอกาสต่อไป !!!